พระเอกล่ำ สตอลโลน รำลึกความหลังผ่านหนังตัวเอง
คำที่ถูกค้นบ่อย
    Sanook//s.isanook.com/sr/0/images/logo-new-sanook.png60060

    พระเอกล่ำ สตอลโลน รำลึกความหลังผ่านหนังตัวเอง

    2010-09-02T00:00:00+07:00
    แชร์เรื่องนี้
    เป็นการกลับมาอย่างสมศักดิ์ศรีของ เฮียสไล ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน ใน The Expendables ไม่เสียแรงที่คอหนังแอ็คชั่นพันธุ์แท้รอคอยกันเป็นปี ๆ และเนื่องในโอกาสที่เฮียสไลกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ เฮียแกจึงมานั่งรำลึกความหลังถึงหนังของตัวเองในอดีต เรามาดูกันว่าเฮียสไลจะรู้สึกยังไงกับบรรดาหนังที่ทั้งเคยสร้างชื่อให้ตัวเอง และพบกับความล้มเหลวในบางครั้ง

    Tango & Cash (1989) "ถึงหนังจะมีความขัดแย้งเรื่องคอนเซ็ปต์ แต่ผมก็สนุกกับการร่วมงานกับมิตรแท้อย่าง เคิร์ต รัสเซล ผมมีช่วงเวลาดี ๆ มากมายในหนังเรื่องนี้ เคิร์ตแสดงฉากต่าง ๆ ได้สมเป็นมืออาชีพ ผมอยากร่วมงานกับเขาอีกนะ ผมชวนเขามาเล่น The Expendables แล้วด้วย แต่เอเยนต์ของเขาบอกให้ผมเขียนจดหมายติดต่ออย่างเป็นทางการมา พอผมไม่ยอมเขียนส่งไป เอเยนต์ของเขาก็โทรกลับมาหาผมในอีกหลายวันต่อมาเพื่อบอกว่า เคิร์ต รัสเซล ไม่สนใจ การร่วมแสดงเป็นหมู่คณะ"

    Stop! Or My Mom Will Shoot (1992) "ผมชอบหนังตลกนะ แต่ผมประเมินความสามารถในการเล่นตลกของตัวเองสูงไป มันอาจจะไม่เหมาะกับภาพลักษณ์ของผม โลกคงไม่อยากเห็น จอห์น เวย์น, ลี มาร์วิน, ชาร์ล บรอนสัน และ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน มาเล่นตลกปัญญาอ่อนบนจอหรอก ตอนนั้นผมคิดว่ามันน่าจะเวิร์ค แต่ทีมงานที่ร่วมวางแผนกันมาตั้งแต่แรกถอนตัวไปหมด สุดท้ายผมก็ต้องทำงานกับทีมงานใหม่ คอนเซ็ปต์ใหม่ บทหนังใหม่ ผมนึกว่าจะทำหนังให้ออกมาดีอย่าง Where's Poppa? ได้ เช่นเดียวกับ Oscar ที่ผมเชื่อว่ากำลังทำหนังอย่าง The Lavender Hill Mob อยู่ ผมเรียนด้านละครตลกมา การแสดงตลกก็เหมือนกับการประคองรถด้วยความเร็ว 150 ไมล์ต่อชั่วโมงไม่มีตก แต่ผมคงขับตกถนนเพราะไม่มีใครขำเลย ผมรู้สึกเหมือนวิญญาณลอยออกจากร่าง ผมถูกลักพาตัว ผมไม่ได้เล่นหนังพวกนี้หรอก มนุษย์ต่างดาวปลอมตัวมาเป็นผมต่างหาก"

    Cliffhanger (1993) "ผมรู้ว่าโปรเจกต์นี้น่าสนใจ แต่ว่าบทยังไม่สมบูรณ์ ต้องขอบคุณผู้กำกับ เรนนี่ ฮาร์ลิน ที่เร่งเขียนบทใหม่จนเสร็จ 4 วันก่อนที่เราจะเปิดกล้อง ผมชอบเล่นหนังแบบนี้นะ มันมีสารที่ดี เรื่องราวชายธรรมดาคนหนึ่งที่ถูกโยนเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ธรรมดา แล้วเขาจะรุ่งหรือร่วงจากสถานการณ์นั้น การถ่ายหนังเรื่องนี้โหดหินมาก ถึงเตรียมตัวเตรียมใจมาดีแค่ไหนก็ยังไม่มากพอ วันที่ขึ้นไปอยู่บนยอดเขาผมก็เริ่มเสียวและกลัวความสูงขึ้นมา ผมต้องพยายามรวบรวมสติและต่อสู้กับตัวเองทุกวัน สุดท้ายผมก็ต้องไปเกาะอยู่บนเชิงผานั่น! ผมได้ข่าวว่าจะมีคนรีเมคหนังเรื่องนี้ด้วย ผมยังไม่ตายเลยนะ จะมีคนอื่นมารีเมคหนังผมแล้วเหรอ!"

    Judge Dredd (1995) "ความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตผมคือการรับมือกับความยุ่งเหยิงใน Judge Dredd มันน่าจะนำเสนอวิชั่นใหม่ ๆ ที่น่าตื่นตาของผู้พิพากษา ลูกขุนและเพชฌฆาตในอนาคต มันเป็นคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจนะ แต่พอหนังออกมาไม่เข้าท่า คนที่ต้องรับกรรมเต็ม ๆ ก็คือผม เพราะคนดูจำผมได้คนเดียว ตอนนี้กติกาในการทำหนังเปลี่ยนไปจากเดิมมาก มันกลายเป็นเรื่องของธุรกิจมากขึ้น ผมมีประชุมเมื่อคืนนี้และมันเป็นการประชุมที่แปลกมาก เหมือนกับการทำสงครามเลย ทุกอย่างต้องมีการวางแผน ขึ้นชาร์ต ไม่มีใครหวังพึ่งดวงหรือความกล้ากันแล้ว"

    Cop Land (1997) "แรมโบ้ กับผมกลายเป็นคนคนเดียวกันไปแล้ว ผมถูกทุกคนมองว่าเป็นคนพูดน้อยต่อยหนัก จนในที่สุดก็คิดว่า 'เฮ้ย พอเถอะ กลับไปหาอะไรที่สนุกกว่านี้ทำดีกว่า' และมิราแมกซ์ก็มาหาผมพร้อมกับบทหนังเรื่อง Cop Land และบอกว่า 'งานนี้คงยากหน่อยนะ เพราะว่านายจะต้องสลัดภาพที่เป็นมาตลอด 10 ปีทิ้งไปให้หมด นายต้องเพิ่มน้ำหนักขึ้นอีก 30 ปอนด์ ทำท่าเป็นคนหูตึง ช่างประจบสอพลอและขี้อาย ทุกคนจะดูถูกดูแคลนนายตลอดเรื่อง' แล้วผมก็บอกว่า 'นั่นฟังดูเหมือนช่วงวัยเด็กของผมเลย!' หนังไม่ได้ทำเงินอะไรมากมาย แต่คนที่ได้ดูก็ชอบมัน เพราะมันเข้าใจจิตใจพวกเขา มันเป็นความรู้สึกที่ดีนะที่ได้เล่นกับอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าแอ็คชั่น ผมภูมิใจกับมันและภูมิใจกับทุกคนที่ผลักดันให้ผมได้เล่นบทนี้ เพราะลำพังผมคนเดียวคงทำไม่ได้หรอก หลังจาก Cop Land ผมมีเวลาว่างนิดหน่อย เลยกลับไปออกกำลังกายตามเดิม และลองเปลี่ยนอาหารการกินดูว่าจะมีผลยังไงกับร่างกายบ้าง มันเกือบจะเป็นงานอดิเรกของผมไปแล้วล่ะ แต่ก็เป็นงานอดิเรกที่ทารุณเอาการ ผมว่าผมกลับไปเป็นอย่างเดิมสมัยที่เล่น Cop Land จะดีกว่า!"

    Rambo I-IV (1982-2008) "ผมนึกว่า First Blood จะกลายเป็นจุดจบของอาชีพผมไปซะแล้ว นิยายต้นฉบับดีนะ แต่ผมว่า แรมโบ้ ดูเป็นคนโรคจิตเกินไปและมันไม่น่าจะรุ่ง ผมกลุ้มใจทุกวันเลย เพราะคัตแรกที่ออกมาดูแย่เอามาก ๆ แต่สุดท้ายเราก็ตัดหนังเหลือ 90 นาทีและผลที่ออกมาก็คือมันดีกว่าเดิมเยอะเลย หนังแอ็คชั่นสมัยนี้อย่าง เจสัน บอร์น ฉลาดมาก แต่เมื่อก่อนเราทำกันแบบง่าย ๆ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ใครจะฆ่าอีกคนได้ก่อน หนังชุดแรมโบ้ก็เหมือนกับ Rocky ภาคแรกและภาคสุดท้าย ภาคที่เหลือตรงกลางคือการลองผิดลองถูก ใน Rambo ภาค 4 ผมตัดสินใจที่จะนำเสนอความรุนแรงแบบสุดขั้ว เพราะเดี๋ยวนี้เราเห็นคนถูกฆ่าตัดหัวทางทีวีแล้วนะ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดและซับซ้อนที่สุดบนโลกใบนี้คือปัญหาของมนุษย์ มันไม่เคยน่าเบื่อเลย คุณไม่ต้องคิดลูกเล่นอะไรให้วุ่นวาย แค่คนสองคนคิดต่างกันและยั่วโทสะกันเท่านั้นเอง การถ่ายหนังเรื่อง Rambo ในประเทศไทยอันตรายมาก แค่พุ่มไม้หรือพวกผีเสื้อก็ยังอันตรายเลย ทุกอย่างอันตรายหมด เราต้องจุดไฟไล่แมลงตลอดเวลา แค่คุณลุกจากเก้าอี้ไปแป๊บเดียว ก็จะมีสัตว์ประหลาดยักษ์ร้อยขามานั่งแทนที่คุณแล้ว!"

    Rocky I-VI (1976-2006) "Rocky น่าจะเป็นการแสดงที่บริสุทธิ์และเฉียบคมที่สุดของผม ผมชอบ ร็อคกี้ ผมมองเขาเป็นนักรบแห่งศตวรรษที่ 20 ที่ใส่รองเท้ากีฬาและสวมหมวก เขาดูเหมือนคนหลงยุค ถ้าคุณมีคาแรคเตอร์ที่ทุกคนชื่นชอบและสามารถใช้คาแรคเตอร์นั้นไปสร้างหนังที่ประความสำเร็จและให้ข้อคิดที่นำไปปรับใช้ได้ในชีวิตประจำวันได้จริงล่ะ คุณจะทอดทิ้งเขาลงเหรอ หนังที่ผมเล่นแล้วประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะเป็นหนังที่ผมมีประสบการณ์ร่วมแทบทั้งนั้น อย่างใน Rocky 3 เขาไม่กล้าขึ้นชก เพราะกลัวว่าจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่หามาได้ไป พอ (โค้ช) มิคกี้ตาย เขาก็เสียศูนย์ เขายังไม่พร้อมที่จะออกไปเผชิญโลกกว้างคนเดียว พอภาค 5 ไม่ประสบความสำเร็จ ผมก็นั่งท้อใจอยู่หลายปี จนมาทำ Rocky Balboa ที่พูดเรื่องการรับมือกับความโศกเศร้า ร็อคกี้พูดในหนังว่า ยิ่งแก่ตัว ก็ยิ่งต้องทิ้งอะไรหลาย ๆ อย่างไว้ข้างหลัง มันเป็นเรื่องที่คุณต้องเรียนรู้เอง ใครก็ช่วยไม่ได้ มีคนคุยเรื่องจะสร้าง Son of Rocky นะ แต่ผมว่าอย่าดีกว่า ผมทิ้งท้ายไว้ค่อนข้างจะสวยงามแล้วกับภาพสุดท้ายใน Rocky Balboa ซึ่งน่าจะเพียงพอแล้วล่ะ มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของผม และผมก็แฮปปี้กับมันมาก"

    อัลบั้มภาพ 9 ภาพ

    อัลบั้มภาพ 9 ภาพ ของ พระเอกล่ำ สตอลโลน รำลึกความหลังผ่านหนังตัวเอง