Sad Movie รู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังโดน

Sad Movie รู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังโดน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
สิ่งที่ Sad Movie ทำออกมาได้ดีคือ การบอกเล่าเรื่องราวของคน 4 คู่ตัดสลับกันไปมา ดูแล้วไม่งงและลื่นไหลกลมกลืน แต่พอผ่านช่วง 2 ใน 3 ของเรื่องไปแล้วหนังจะค่อย ๆ ขมวดปมของเรื่อง กลายเป็นความเศร้าเค้นอารมณ์คนดูแม้จะเป็นหนังเศร้าแต่ก็ทำให้คุณเศร้าแบบรู้สึกดีได้ กระแสหนังและซีรีส์จากเกาหลีนั้นแม้ว่าดูจะจางลงไปบ้าง แต่ในช่วงที่ผ่านมา ความนิยมแบบสุด ๆ นั้นก็ทำให้บ้านเราได้รับอิทธิพลของเกาหลีมามากพอดู เราได้มีหนังอย่าง The Letter ที่งานภาพและแนวเรื่องนั้นมีกลิ่นอายของงานเกาหลีอยู่มาก ละครไทยที่ฉายอยู่ตอนนี้เรื่องหนึ่งก็ไปถ่ายทำที่เกาหลี ตัวละคร เรื่องราวก็เป็นเกาหลี เอากันเข้าไปแต่ที่นอกเหนือจากนั้นคือบรรดานักแสดงเกาหลีทั้งหลายที่เข้ามาสร้างชื่อในบ้านเราเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะ เรน, จวนจีฮุน, ชาแตฮุน, ลียองเอ, คิมแตฮี และอีกหลายต่อหลายคน รวมถึงวัฒนธรรมเกาหลีอีกหลาย ๆ อย่างที่เราได้เรียนรู้กันจากหนังและซีรีส์ อย่างเรื่องการตบหัว ตีหัว ที่มีให้เห็นในแทบทุกเรื่อง การให้ความเคารพผู้ใหญ่ ไปจนถึงวัฒนธรรมการกินต่าง ๆ (แล้วคิดดูนะครับว่าคนที่ดูแต่ละครไทยจะได้เห็นวัฒนธรรมไทยแบบไหนกันบ้าง เพราะเกือบทุกเรื่องเนี่ย แย่งผู้ชายกันทั้งนั้น) สิ่งที่ต้องยอมรับก็คือฝีมือในการทำภาพยนตร์และซีรีส์ของเกาหลี แม้ว่าบางเรื่องจะดูไม่สนุก แต่ก็ยังมีงานภาพที่สวยและน่าประทับใจเอามาก ๆ ที่สำคัญคือหนังเกาหลีนั้นทำถึง ถ้าหากเป็นหนังบู๊พวกเขาก็พร้อมจะลงทุนครั้งใหญ่ ทุ่มทุนกับบรรดาตัวประกอบนับร้อย ๆ และงานเอฟเฟกต์มากมาย ถ้าเป็นหนังตลก ก็ขำจนแทบตกเก้าอี้ และถ้าเป็นหนังชีวิตแสนเศร้า ก็เล่นเอาคนดูน้ำตาไหลพรากกันเลย จุดเด่น คือ เขาทำหนังที่มีธีมเป็นสากล คือไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหนดู ก็สามารถเข้าใจและเข้าถึงเนื้อเรื่องได้เช่นกัน ด้วยการเขียนบทที่ทำได้ดี พร้อมองค์ประกอบอื่น ๆ ทำให้หนังและซีรีส์เกาหลีได้รับความนิยมและเป็นที่ยอมรับมากขึ้นทุกที ๆ หนังอย่าง II Mare ก็ถูกฮอลลีวูดนำไปสร้างเป็น The Lake House ที่กำลังจะเข้าฉายอยู่แล้ว นี่ก็ได้ข่าวมาว่าจะมีการเอา My Sassy Girl ไปสร้างฉบับฮอลลีวูดขึ้นมาเช่นกัน หนังเกาหลีเรื่องล่าสุดที่เข้าฉายในบ้านเราคือ Sad Movie คือ แค่ชื่อหนังก็บอกไว้แล้วว่านี่คือหนังเศร้า เพราะงั้น ก็ทำใจไว้ก่อนเลยนะว่างานนี้มีน้ำตานองกันแน่ ๆ หนังเรื่องนี้ดูจะได้รับอิทธิพลมาจาก Love Actually อยู่ด้วย คือการบอกเล่าเรื่องราวของคนหลาย ๆ คู่ ที่มีชีวิตเกี่ยวพันกันอย่างหลวม ๆ โดยที่บอกเล่าเรื่องราวของแต่ละคู่นั้นสลับกันไปมาแต่ในขณะที่ Love Actually นั้นพูดถึงความรักที่สมหวัง คนที่ได้พบกับความรักที่ทำให้หัวใจอบอุ่น Sad Movie กลับพูดถึงความรักที่ไม่สมหวังหัวใจที่แตกสลาย และการพลัดพรากจากกัน คน 4 คู่ ที่ถูกหยิบยกมาบอกเล่าในหนังเรื่องนี้ได้แก่ หนุ่มตกงาน (ซาแตฮุน จาก My Sassy Girl และ My Girl & I) กับแฟนสาวที่เป็นพนักงานเก็บเงินในซูเปอร์มาร์เก็ต พนักงานดับเพลิงที่พร้อมลุยเสมอ (จังวูซุง) และสาวในฝันของเขา (อิมซูจอง) ผู้ประกาศข่าวสาวที่คอยแสดงภาษามือให้ผู้ชมที่หูพิการได้เข้าใจข่าว สาวหูพิการและเป็นใบ้ (ชินมินอา) กับนักวาดรูปหนุ่มที่เธอแอบปิ๊ง (ลีกีวู) และคู่สุดท้าย แม่ (ยอมจองอา) ที่ไม่มีความสุขและทำงานหนักเสมอกับลูกชายตัวน้อย (ยอจินกู) ที่ต้องการความรักความกแม่ของเขา ทั้ง 4 คู่นี้ถูกบอกเล่าและดำเนินเรื่องสลับกันไปได้อย่างชาญฉลาดหนังร้อยเรื่องราวของคนทั้ง 4 คู่ ให้เราได้เข้าใจกันตั้งแต่ต้นด้วยสายฝนที่โปรยปรายลงมา แค่การถ่ายภาพช่วงต้นนี้ก็สวยสุด ๆ แล้วละครับ หนังใช้เม็ดฝนที่หยดพราวลงมานนี่สร้างภาพอันงดงามขึ้นมา แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเศร้า สิ่งที่ถือว่าหนังทำได้ดีคือการบอกเล่าเรื่องราวของ 4 คู่นี้ออกมาได้อย่างรื่นรมย์ แฝงด้วยอารมณ์ขัน ค่อย ๆ ปูให้คนดูได้ทำความรู้จักกับตัวละครทั้งหมด โดยเฉพาะคู่ของสาวหูพิการกับจิตรกรหนุ่มเนื่องจากเธอทำงานอยู่ในสวนสนุกโดยสวมชุดสโนว์โวต์ พร้อมกับมีคนแคระทั้งเจ็ดคอยเป็นลูกคู่ คือแค่เห็นคนใส่ชุดตุ้ย ๆ พร้อมกับหัวใหญ่ ๆ นั่นก็ทำให้คนที่เห็นอมยิ้มออกมาแล้วละครับ ฉากต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นที่สวนสนุกนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากคนดูได้เป็นอย่างดีครับ โดยเฉพาะเสียงความคิดในใจของสาวหูพิการคนนี้ แต่อย่างคูนี้ เราพอจะเดาได้อยู่แล้วว่าคงไม่ได้ลงเอยกันอย่างมีความสุขแน่ ๆ จะว่าไปแล้ว ธีมของหนังเรื่องนี้คือเรื่องของการสื่อสารระหว่างกันครับปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละคู่คือการใม่สามารถสื่อสารหรือบอกความในใจของตนเองออกไปได้ แม้ว่าจะรักมากเพียงใดก็ตาม จนก่อให้เกิดปัญหาขึ้น จนในบางคู่ ปัญหานั้นก็ลุกลามใหญ่โต และไม่สามารถที่จะแก้ไขได้อีก บางคู่ก็เปิดเผยความในใจออกมาสายเกินไป คู่ของชาแตฮุนนั้นบ่งบอกถึงปัญหานี้ได้อย่างชัดเจนครับ ด้วยความบังเอิญ ทำให้เขาได้ไอเดียในการรับจ้างบอกเลิกแทน ซึ่งดูเหมือนว่างานนี้จะทำรายได้ให้กับเขาเป็นอย่างดี และเขาก็ต้องพบกับเป้าหมายหลาย ๆ รายที่ไม่ยอมรับฟังคำบอกเลิกนั้นซึ่งเขาเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ยอมรับความจริงเช่นกัน เขาไม่ยอมรับว่าแฟนสาวของเขาต้องการที่จะเลิกกับเขา แต่ในที่สุด งานนี้ก็ทำให้เขาได้เข้าใจอย่างแท้จริงว่าความสัมพันธ์นั้นสิ้นสุดลงไปแล้ว และเขาต้องยอมรับมันไม่ว่าจะเจ็บปวดเพียงใดก็ตาม หลังจากที่หนังผ่านช่วง 2 ใน 3 ของเรื่องไปแล้ว หนังก็ค่อย ๆ ขมวดปมของเรื่องราวทั้งหมด เสียงหัวเราะและอารมณ์ขันถูกทดแทนเข้ามาด้วยความเศร้า หนังเค้นอารมณ์คนดูอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมันมาแบบหมัดชุดเพราะว่ามีถึง 4 คู่ให้เลือกสรรแล้ว 4 คู่นี้ก็ทยอยปิดเรื่องลงพร้อม ๆ กันโดนคู่นี้ ตามด้วยคู่นี้ อัดเข้ามาแบบไม่ให้คนดูได้พักกันเลย คู่ที่ทำให้ผมต่อมน้ำตาแตกได้มากที่สุดคือคู่แม่ - ลูกนั่นแหละครับ ถือเป็นคู่ที่ทำให้ผมประทับใจมากที่สุดในเรื่องนี้เลย โดยเฉพาะตัวลูกที่อ่านไดอารีของแม่แล้วก็มาขอโทษแม่ที่ตัวเองดันเกิดเป็นผู้ชายซะนี่โห... . อึ้งไปเลยครับ ขณะที่คู่ของสาวใบ้กับจิตรกรหนุ่มนั้นเป็นคู่ที่น่ารักเอามาก ๆ แม้ว่าจะหลงรักแต่เธอก็รู้ว่ามันคงไม่มีทางเป็นไปได้ และไม่ต้องการทำให้ชีวิตของหนุ่มคนนี้ต้องเปลี่ยนแปลงไปเพราะเธอ เธอพร้อมจะเปิดเผยตัว โดยไม่หวังอะไรตอบแทนและขอจบทุกอย่างลงเพียงเท่านี้ ซึ่งมันเศร้าเหลือเกินครับเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงจะเข้าใจถึงอารมณ์ของเธอได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการซ่อนตัวอยู่หลังหน้ากาก การได้ทำในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของนราไม่รู้ว่าเราเป็นใคร และการแอบรักอยู่ฝ่ายเดียว ผมไม่รู้ว่า Sad Movie ฉบับพากย์ไทยเป็นยังไงนะครับ เพราะผมดูแบบซาวนด์แทรก ภาษาเชื่อว่าทีมพันธมิตรคงจะพากย์ช่วงที่หนังตลก ๆ ได้ดีแน่ ๆ และคงจะฮากว่าต้นฉบับเสียด้วยซ้ำ แต่ก็อย่างที่บอกแหละครับหนังเรื่องนี้ทำมาเพื่อเรียกน้ำตาคนดู แล้วก็ทำได้จริง ๆ หนังให้ความรู้สึกทีเศร้า แต่ก็ไม่ได้เศร้าแบบสงสารใจจะขาดอะไรแบบนั้นนะครับ เป็นความเศร้าแบบเข้าใจน่ะ อธิบายยากจัง ดูแล้วก็ได้คิดว่าเมื่อยังมีโอกาส เมื่อมีเวลา ก็บอกคนที่คุณรักไปเถอะครับว่ารัก แสดงออกไปเลย ไม่ใช่เรื่องเสียหายครับ ดีกว่าที่จะปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดลอยไปจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจภายหลังที่มีโอกาสแล้วแต่กลับปล่อยให้มันผ่านไป Sad Movie เป็นหนังที่ตอบโจทย์ได้ดีครับ ผู้กำกับฯ คุมหนังได้อยู่มือ รู้ว่าจะใส่อารมณ์ขันเข้ามาตรงไหน จะเค้นอารมณ์คนดูตรงไหนการตัดสลับ เรื่องราวของทั้งสี่คู่นั้นไม่ดูฝืนหรือดูแล้วงงแต่อย่างใดซาวนด์แทร็ก นั้นเข้ากับหนังได้อย่างยอดเยี่ยมครับ เพลงธีมนั้นถูกใช้เปิดอยู่ตลอดเรื่องแต่ต่างจังหวะต่างอารมณ์กันไปต้องปรบมือให้เลยครับหนังเรื่องนี้สามารถดัดให้เรื่องเปลี่ยนเป็นหนังโรแมนติกน่ารัก ๆ ที่จบแบบแฮปปี้เอนดิงได้อย่างไม่ยากเย็นเลยแต่หนังก็เดินปตามทางที่ต้องการครับนั่นคือการเป็นหนังเศร้าเรียกน้ำตานั่นเอง แน่วแน่มาเลยละครับ หนังอาจจะเป็นราม่าปนตลก แต่ก็ลงทุนในส่วนที่จำเป็นครับเพราะหนึ่งในตัวละครนั้นเป็นนักดับเพลิงหนังจึงมีฉากไฟไหม้อยู่บ้างงาน CG ที่เข้ามาก็ใช้ได้เนียนทีเดียว คือหนังเขียนบทมาดีไงครับ เลยไม่จำเป็นต้องทุ่มทุนอะไรมากมายกับฉากบู๊แอ็กชั่นล้างผลาญ เน้นที่การถ่ายภาพสวย ๆ การสร้างอารมณ์และโทนของหนังที่สามารถดึงคนดูให้อินตามไปได้ตลอดเรื่อง ผมว่ามันสำคัญกว่าเยอะครับ แบบนี้เขาเรียกว่าทำหนังเป็นการ ทุ่มทุนมหาศาลไม่ได้หมายความว่าหนังดีนะครับ ดูอย่าง ต้มยำกุ้ง หรือ AIexander สิครับ ตัวอย่างมีให้เห็นกันอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าจะทำตามหรือเปล่าเท่านั้นแหละ ไม่ว่าคุณจะอยากร้องไห้หรือไม่ Sad Movie ก็เป็นหนังที่ทำให้คุณรู้สึกเศร้าแบบรู้สึกดีได้ครับ อยากจะแนะนำให้ไปดูกันสำหรับหนังดี ๆ ที่ทำออกมาได้ลงตัวมาก ๆ แบบนี้ ไม่ใช่หนังฟูมฟายหรือเค้นกันจะเป็นจะตายนะครับ แต่เค้นอารมณ์คนดูได้อย่างดีและมีจังหวะ ชนิดที่ต้องปรบมือให้ผู้กำกับฯ เลยละครับ ข้อมูลจากนิตยสาร ภาพยนตร์บันเทิง ฉบับวันที่ 9-15 สิงหาคม 2549

อัลบั้มภาพ 7 ภาพ

อัลบั้มภาพ 7 ภาพ ของ Sad Movie รู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังโดน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook