คุยกับ อนันดา กับบทบาทที่น่าจับตาใน ชั่วฟ้าดินสลาย

คุยกับ อนันดา กับบทบาทที่น่าจับตาใน ชั่วฟ้าดินสลาย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เรียนรู้การแสดงอีกแง่มุมหนึ่งกับบทบาทน่าจับตาล่าสุด ของ อนันดา เอเวอริ่งแฮม ในภาพยนตร์โศกนาฏกรรมรักเรื่อง ชั่วฟ้าดินสลาย บทบาท-คาแร็คแตอร์ ในเรื่องนี้ผมก็รับบทเป็น "ส่างหม่อง" เด็กหนุ่มที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากพะโป้ (ธีรพงศ์ เหลียวรักวงศ์) ที่มีศักดิ์เป็นอาของส่างหม่อง แบ็คกราวด์ของตัวละครตัวนี้ตั้งแต่ต้นเรื่องก็คือ วันหนึ่งพ่อแม่ของส่างหม่องตาย และส่างหม่องก็ไม่มีใคร ก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่ไม่มีใคร และบังเอิญที่งานเผาเศพเนี่ยพอทุกคนจากไป ก็จะเหลืออยู่แค่พะโป้กับส่างหม่อง ส่างหม่องก็ขอร้องให้พะโป้พาเขาไปด้วย อย่าทิ้งเขานะ พะโป้ก็เลยเอาเด็กคนนี้มาเลี้ยงเหมือนเป็นลูกของตัวเอง จริงๆ พื้นฐานของส่างหม่องจะเป็นคนที่ค่อนข้างใสมาก อยู่ในโลกที่พะโป้เขาสร้างขึ้นมาให้ เป็นคนที่โตมาด้วยความปลอดภัยทั้งหมด คือมีทุกอย่าง มีคนดูแล มีคนเลี้ยงอะไรแบบนี้ คือเป็นคล้ายๆ เจ้าชายของพื้นที่นี้เลย และก็อาจจะเรียกว่าเป็นคนที่บริสุทธิ์มาก ยังไม่รู้จักชีวิตมากเท่าไหร่ ส่างหม่องเป็นคนที่คล้ายๆ ว่าชีวิตโดนกำหนดมาทุกอย่าง และปมอันหนึ่งของเขาก็อาจจะเป็นตรงที่เขารู้สึกว่าเขาไม่มีใครนอกจากตัวของคุณอาก็คือพะโป้ คือตัวละครของส่างหม่อง เขาโตมาภายใต้ปีกของพะโป้และเขาก็ชินกับการที่เขาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิตพะโป้หรือสิ่งที่สำคัญที่สุดของพื้นที่นี้ เรื่องราวก็จะมาเริ่มตอนที่พะโป้พายุพดี (เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์) มาเป็นภรรยาคนใหม่ที่คฤหาสน์แห่งนี้ แล้วส่างหม่องก็เริ่มมีปัญหากับการที่ต้องแชร์ความรักของคุณอากับยุพดี แต่ไปๆ มาๆ คุณอาก็พยายามผลักให้ 2 คนนี้สนิทกัน พอสนิทกันไปมา ก็ตามสภาพของคนที่อายุใกล้เคียงกันมั้ง ทั้งส่างหม่องกับยุพดีก็เลยแอบมีความรักกันเอง นี่ก็เป็นต้นเหตุของความหายนะที่จะตามมา ความยากง่ายของบทอยู่ที่ตรงไหนบ้าง ไอ้ความง่ายของบทไม่รู้มันมีหรือเปล่า แต่เรื่องยากอ่ะมีเพียบเลย (หัวเราะ) ตัวละครของส่างหม่อง สำหรับผมเนี่ยมันอาจจะยากเป็นพิเศษหน่อย เพราะว่ามันจะเริ่มจากคนที่เป็นผ้าขาวมาก เป็นคนใสเลยครับ และพอคาแร็คเตอร์มันดำเนินไปข้างหน้า มันก็จะค่อยๆ มืดขึ้นๆ เมื่อมันโดนดึงเข้าไปด้านมืด สิ่งที่มันยากก็คือการให้ขาวเนี่ยมันกลายเป็นดำ พัฒนาการจากคนไร้เดียงสากลายเป็นคนที่เต็มไปด้วยกิเลส ความใคร่หรือตัณหาราคะ การพัฒนาคาแร็คเตอร์ตรงนี้ค่อนข้างยากหน่อย และนี่ยังไม่พูดถึงฉากดราม่าต่างๆ มีอะไรยากๆ เต็มไปหมดเลย แล้วมีวิธีที่จะจัดการกับความยากของบทนี้อย่างไรบ้าง คือถ้าให้มองแบบผิวเผินแล้วเนี่ย ทุกอย่างมันก็ดูยากไปหมด แต่ผมก็คุยปรึกษากับหม่อมมาตลอดว่าควรจะเล่นอย่างไรดี เพราะเราก็ไม่เคยเจอตัวละครหินขนาดนี้มาก่อน หม่อมก็พยายามจะให้ผมทำทุกอย่างให้มันง่ายขึ้น โดยวิธีการคิดให้มันง่าย อย่าพยายามที่จะไปหลงในอารมณ์ของตัวละครมากไป นึกให้มันง่าย นึกถึงอารมณ์ของตัวละครว่ามันต้องการอะไร ณ ปัจจุบัน และพยายามอย่าไปกดดันตัวเองกับการที่ตั้งใจเกินเหตุอยากจะให้งานออกมาดีอะไรอย่างนี้ ซึ่งก็เป็นอะไรที่ค่อนข้างใหม่สำหรับผม เราก็ยอมรับว่าเราเป็นคนที่ค่อนข้างอินกับอารมณ์ของตัวละคร หลงไปในอารมณ์แล้วไม่ค่อยคอนโทรลตัวเองเท่าไหร่ และการแสดงของผมค่อนข้างดิบมากจากที่ผ่านมา แต่ในเรื่องนี้เขาอยากให้เราคอนโทรลมากขึ้น ต้องมีสมาธิมากขึ้น แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้น คือแทนที่จะไปคิดให้มันซับซ้อน ก็คิดให้มันง่าย และสิ่งที่เราซ้อมมาหม่อมก็จะบอกตลอดให้ลืมมันไป พอซ้อมได้แล้วก็ช่างมันอย่าคิดว่าจะต้องทำเหมือนซ้อม เก็บมันไว้สำหรับตอนถ่ายดีกว่า และทำให้มันเกิดขึ้นใหม่ทั้งหมด ซึ่งก็ดีมันทำให้ความกดดันหายไปหมดเลย ทุกวันที่ผมมากองก็พยายามมาให้ว่างที่สุด ไม่คิดว่าจะทำอะไร ไม่คิดว่าจะแสดงแบบไหน แล้วก็มาฟังโจทย์ชัดๆ หน้ากองอีกทีหนึ่งว่าความต้องการของตัวละครมันเป็นอย่างนี้ๆ นะครับ แล้วก็ทำตามนั้นเลย และจะไม่ทำให้มันซับซ้อนไปกว่านั้น ซึ่งกลายเป็นว่าสิ่งที่ผมรู้สึกว่ามันต้องเล่นยากแน่ กลายเป็นว่ามันง่ายกว่าที่คิดเยอะ พอสั่งคัทแล้วเนี่ยผมสามารถดึงตัวเองออกมาจากตัวละครได้โดยที่ไม่มีอะไรค้างคาติดมาด้วย คือจากที่ผ่านมาบางทีมันอาจจะด้วยความตั้งใจหรือด้วยความกลัวว่าเราจะไม่อิน เราจะไปหลงใหลในอารมณ์ของตัวละครเสียมาก แล้วมันเริ่มคิดซับซ้อน แต่รอบนี้ก็คือไม่ คือจะให้รู้จักตัวละครตั้งแต่ต้น และพอมาถึงเหตุการณ์ ณ ปัจจุบัน ก็เล่นแค่สิ่งที่ตัวละครต้องการ ณ ตอนนั้น แทนที่จะคิดถึงว่าในอนาคตเขาจะเป็นอย่างไร ในอดีตเขาคิดอย่างไร เพราะคนเราก็ไม่ได้นึกถึงอดีตและอนาคตของตัวเองอยู่ตลอดเวลา เราทำอะไรเราก็ทำอยู่ในปัจจุบัน ก็พยายามจะคิดตรงนั้นไว้

นี่คือวิธีการที่หม่อมน้อยสอนมาในเรื่องการแสดง คือเป็นสิ่งที่แกสอนมานานแล้วล่ะ แต่เพิ่งเอามาใช้แบบเต็มๆ กับหนังเรื่องนี้ บางทีคนเราตอนที่เราเต็มไปด้วยความพยายามเนี่ย มันช่วยตัวเองไม่ได้ที่จะนึกถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำเนี่ย และมันไม่ค่อยนึกถึงสิ่งที่ทำอยู่ในปัจจุบัน รอบนี้ผมก็เลยทำการบ้าน ก็รู้ละว่าส่างหม่องเป็นคนอย่างไร ควรจะต้องแสดงอย่างไร พอมาถึงตอนนั้นก็ลืมไปให้หมด แล้วก็เริ่มจากศูนย์ใหม่ ช่วยได้เยอะมาก มันช่วยทำให้การแสดงไหลลื่นขึ้นมากน้อยแค่ไหน มันทำให้ไหลลื่นกว่า และความกดดันมันก็หายไป มันรีแล็กซ์มากขึ้น ไอ้สิ่งง่ายๆ ที่เรามักจะลืมตอนเราเกร็งก็คือ อย่างเช่นตอนเราหายใจ แล้วทำไมบางทีเราแสดงแล้วรู้สึกว่าอึดอัดเหลือเกิน บางทีมันแค่เรื่องง่ายๆ ว่า ลืมหายใจว่ะ และบางทีมันก็มีแบบเล็กๆ น้อยๆ ที่มันช่วยได้เยอะมากก็คือ ลมหายใจที่หยาบหรือลมหายใจที่ละเอียด เอามาใช้อย่างไรกับฉากไหนบ้างอย่างนี้ อย่างฉากบางฉากเรามีความต้องการสูง เราต้องการในตัวยุพดีสูงแบบนี้ เรารีบ เราอยากได้เขามาก หรือเราเต็มไปด้วยความใคร่ มันก็กลายเป็นลมหายใจหยาบ ไอ้พวกเล็กๆ อย่างนี้มันช่วยได้เยอะมาก กับหนังเรื่องนี้หม่อมเขาค่อนข้างซีเรียสอยากให้เล่นOpposite กับความรู้สึกของตัวละครอย่างนี้ คือตัวละครมีอะไรอยู่ในใจเนี่ย ให้กดมันลงไป แล้วก็เล่นในสิ่งที่ตรงข้ามออกมา ซึ่งแกก็จะพูดอยู่ตลอดว่าเก็บไว้ที่เท้า เอาอารมณ์นั้นนะกดไว้ แล้วก็เอไปาไว้ที่เท้า มันฟังแล้วดูแปลก แต่มันได้ผลมาก ก็คือตอนรู้สึกอะไรแทนที่จะออกมาที่หน้าเนี่ย ให้เกร็งเท้าไว้ แล้วมันจะกลายเป็นว่าหน้าเราก็จะคลายออกมา โดยไม่พยายามเล่นสีหน้าอะไรแบบนั้น แล้วกลวิธีการแสดงอย่างนี้ มันจะช่วยส่งในการปะทุอารมณ์ตอนสุดท้ายบ้างไหม ด้วยหลายเหตุผล แต่ถ้าสมมติเราคิดในความเป็นจริงแล้วเนี่ย ไอ้ความในใจถ้าสมมติเราไม่อยากให้คนอื่นเห็นเนี่ย เราก็จะกดไว้ใช่เปล่า จริงๆ มันก็คือสิ่งธรรมชาติของคนเราเองด้วยซ้ำ หม่อมแกก็จะพยายามหนีจากการแสดงที่เราเห็นบ่อยๆ ก็คือไม่พยายามให้ตัวละครแสดงให้คนดูเห็น คือให้คนดูเก็บเอาเองระหว่างที่ดูหนัง ซึ่งก็ดีมันก็กลายเป็นว่าเราไม่ต้องจงใจแสดงอะไรให้คนดู นึกถึงแค่โจทย์ที่ตัวละครมีแค่นั้นพอ สไตล์การทำงานของหม่อมน้อย ที่มีการซักซ้อมก่อนการถ่ายในโลเกชั่นจริง มันช่วยทำให้การแสดงในตอนถ่ายทำจริงลื่นไหลมากขึ้นไปกว่าเดิมไหม ก็แน่นอนอยู่แล้ว จริงๆ เรื่องซ้อมผมก็รู้สึกว่าหนังไทยส่วนใหญ่นี่ก็ซ้อมกันไม่พอด้วยซ้ำ ผมว่าระบบสากลเท่าที่ผมรู้เค้าก็ซ้อมกันหมดนะ เป็นเรื่องปกติมาก ก็เหมือนแบบเราเตรียมงานน่ะ คือบางทีการที่มาค้นพบหน้าเซ็ตมันเสียเวลามากไง อย่างน้อยมันต้องจับนักแสดงให้มาดูบท ได้มาซ้อมสักรอบหนึ่ง มันก็ช่วยทำให้นักแสดงอย่างเราเห็นภาพชัดขึ้น ผมว่าหม่อมก็จะเห็นภาพชัดขึ้นด้วยว่าควรจะแก้ไขอะไร ก็จะได้แก้ไขเลย เพราะนักแสดงทุกคนผมก็ว่าไม่ใช่ว่าจะทำได้เหมือนกับภาพที่หม่อมมีอยู่ในหัว ก็เลยถ้าจะซ้อม จะแก้ไขอะไร มันดีที่จะทำก่อนที่จะมาอยู่กองถ่าย ถ้าต้องมาทำหน้ากองมันก็เสียเวลามาก ยิ่งอย่างเรื่องนี้เนื้อหามันเยอะ มาหยุดเพื่อจะมาแก้ไขเรื่องการแสดงมันก็กระไรอยู่ มันก็ไม่ควรอะไรแบบนี้ เดี๋ยวถ่ายไม่ทัน สไตล์หม่อมหนักซ้อม ส่วนหนึ่งผมว่าอาจจะเป็นเพราะว่าหม่อมมาจากละครเวทีด้วย ซึ่งเรื่องการซ้อมเป็นสิ่งที่ซีเรียสมาก หนังก็ควรเป็นอย่างนั้นด้วยเหมือนกัน เรื่องซ้อมก็น่าจะเป็นเรื่องสำคัญ แล้วตั้งแต่เล่นมามีอุปสรรคหรือปัญหาเกี่ยวกับการแสดงบ้างไหม ก็ไม่ได้มีเท่ากับที่คิด คือตอนเรกเราคิดว่าจะต้องเกร็ง จริงๆ ที่กลัวว่าจะเกร็งเนี่ยมันไม่ใช่เรื่องของเนื้อหา แต่เนื้อหาส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็คือเรามาเล่นกับอาจารย์ของเรา มันเหมือนคล้ายๆ ว่าเรามาทำงานให้พ่อตัวเอง ห่วงตัวเองตอนนั้นว่าจะตื่นเต้น จะเกร็งหรือเปล่า แต่พอได้เริ่มทำงานเนี่ยก็คือ ไม่รู้นะ ผมว่าก็แปลกเหมือนกันเรื่องนี้ เหมือนผม Calm สงบและนิ่งกว่าที่คิดไว้เยอะมาก การร่วมงานกับนักแสดงแต่ละคนเป็นอย่างไรบ้าง กับพลอยนี่ผม Happy อยู่แล้ว คือรู้จักแกมานานแล้ว รู้จักตั้งแต่ 13-14 แล้ว และก็ทำงานกันมาหลายรอบแล้ว 3-4 รอบแล้ว แต่ถ้าเป็นถ้าเป็นหนังใหญ่ก็จะเป็นครั้งแรก เราก็รู้อยู่ว่าเราค่อนข้างมีเคมีกับเขาอยู่ระดับหนึ่ง พอเข้าฉากกับพลอยค่อนข้างจะสบายใจด้วยความคุ้นเคยและความสนิท แล้วพอเราเคยเล่นกับเขาแล้วเราก็รู้ว่าเขาเป็นนักแสดงที่ค่อนข้างให้อะไรกับคนอื่นค่อนข้างเยอะ มันทำให้งานออกมาง่ายขึ้น อาจจะเป็นเพราะเราเป็นลูกศิษย์อาจารย์เดียวกัน สไตล์ความคิดในแง่การแสดงมันก็เลยคล้ายกันอยู่ กับพี่บี๋ ธีรพงศ์ล่ะเป็นยังไงบ้าง ต้องเข้าฉากด้วยกันเยอะเหมือนกัน พี่บี๋ ผมก็ชอบนะ อาจจะรู้สึกสนิทกับแกเป็นพิเศษ เพราะว่าแกเป็นคนที่โตที่เมืองนอก เรื่องภาษาผมกับเขามันค่อนข้าง...เดี๋ยวผมพูดภาษาอังกฤษบ้าง เดี๋ยวพูดภาษาไทยบ้างอะไรอย่างนี้ ก็เลยเข้ากันค่อนข้างเร็วมาก แต่เพราะเราไม่เคยทำงานกับพี่บี๋ มันก็แฮปปี้ที่ได้มีเวลาซ้อมกับแกก่อน ผมว่าดีครับ ตอนถ่ายจริงมันก็เลยช่วยให้ง่ายขึ้นเยอะ พูดถึงฉากดราม่า มีอยู่เยอะเหมือนกัน มีฉากไหนบ้างที่โดดเด่นเป็นพิเศษ จริงๆ มีทั้งเรื่องเลย ที่หม่อมคอมเม้นต์กับผม เขาบอกว่าที่เขารู้สึกว่าพีคสุด ก็คือตอนที่พะโป้เอาปืนมาให้ส่างหม่อง ถ้าอยากจะหาทางออกก็ให้นี่แหละฆ่าตัวตายซะ ซึ่งค่อนข้างรุนแรงมาก และก็เป็นฉากเดียวที่ส่างหม่องลุกขึ้นมาชี้หน้าแล้วด่าคุณอาของตัวเอง และด่าค่อนข้างแรงมาก อันนี้ก็น่าจะหนักสุดนะ ก็เหนื่อยครับ มันไม่ได้รู้สึกว่ามันยาก แต่เล่นเหนื่อย เหมือนแบบนึกถึงคนที่มันร้องไห้สุดตัว พอเสร็จแล้วมันอยากจะนอนจริงๆ หมดแรงเลย ฉากนั้นคือปลดปล่อยอารมณ์เต็มที่ ใช่ มันก็เหมือนแบบโลกของส่างหม่องมันพังทลายลงตรงนั้น ที่มันรู้สึกว่านี่คือสุดชีวิตละ ไม่รู้จะทำอะไรได้มากกว่านี้ คือมาขอขมานี่ก็คือที่สุดละ มันก็มีอยู่แค่นี้ ก็คือการมาขอขมาขอโทษอะไรอย่างนี้ แต่คำตอบของพะโป้คือให้ตายดีกว่า มันก็แรงที่สุดในชีวิตของส่างหม่องละ เพราะอันนั้นมันก็เหมือนเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตัวละครของส่างหม่อง เหมือนเป็นจุดที่ทำให้เขาคิดถึงเรื่องความตายได้ เป็นจุดเริ่มตันของการที่เขารู้ตัวว่า ชีวิตของเขาคงไม่มีคุณค่าแล้ว ถ้าไม่มีคนๆ นี้ในชีวิตของเขาอะไรประมาณนี้ มันเพิ่งรู้ว่าทางออกทางเดียวของมันเนี่ย ก็คือความตาย มันจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่เริ่มนึกถึงความผิดของมัน เพราะมันเหมือนทั้งหมดที่ทำผิด และพอมาถึงจุดหนึ่งก็เหมือนแบบว่ามันพยายามจะมายอมรับผิด และขอโทษ ขอให้อภัย แต่สุดท้ายแล้วมันไม่ได้ มันก็ไม่มีทางอื่นแล้ว ก็เลยพีคสุดของตัวละครนั้น

โลเกชั่นการถ่ายทำเป็นอย่างไรบ้าง โลเกชั่นเรื่องนี้สวยทุกที่ อย่างฉากหลักในคฤหาสน์ปางไม้ก็ถ่ายกันที่ขุนแจซึ่งสวยมาก แต่แมลงก็เยอะมากด้วย และบังเอิญผมเป็นคนแพ้ตัวคุ่น มือบวมไปสามวัน โดนนิดเดียว บวมไปทั้งมือ แต่โดนกันหมดทั้งกอง โลเกชั่นก็สวยจริงๆ แต่มีข้อเสียเรื่องแมลงแค่เรื่องเดียว ได้ดูภาพที่ถ่ายทำไปแล้ว เป็นยังไงบ้างกับภาพที่ออกมา อ้อ ฟุตเตจที่ถ่ายออกมาสวยมาก ผมว่าไอ้ช่วงเวลาที่เรามาถ่ายมันค่อนข้างลงตัวมาก มันมีทั้งหมอก ไฟป่า แต่มันก็กลายเป็นม่านที่กลั่นกรองแสงเข้ามา มันจะดูนุ่มและก็ดูเย็น และก็ป่าตรงนี้มันสวยมาก มันขลังมากด้วย มันสมบูรณ์มาก ป่ามันสมบูรณ์มาก สวยมากครับ นี่ถือเป็นการโปรโมทสถานที่ Unseen ได้หรือเปล่า ใช่ ททท. ควรจะมาเป็นสปอนเซอร์ให้เรานะเนี่ย เอาผมไปเป็นแอมบาสเดอร์ก็ได้นะ (หัวเราะ) หลายเรื่องแล้วนะเนี่ยที่โปรโมทสถานที่ท่องเที่ยว อย่างเรื่องนี้ก็มีโลเกชั่น Unseen ของเชียงราย ทั้งน้ำตกขุนแจ ลำน้ำกก, ยอดเขาแม่ฟ้าหลวง โลเกชั่นสวยจริงๆ ครับ ได้ดูภาพยนตร์ฉบับเก่าบ้างไหม เป็นอย่างไรบ้าง เวอร์ชั่นก่อนก็ชอบนะ ก็ดี ผมว่าสำหรับเนื้อหาแบบนี้ และเขากล้าทำในยุคนั้นก็น่านับถือ ก็แน่นอนอยู่แล้ว มันก็อยู่ในสไตล์หนังในยุคนั้น การแสดงหรืออะไรก็ว่าไปก็จะเป็นอีกสไตล์หนึ่ง แต่สำหรับเรื่องนี้มาทำใหม่ มันก็ไม่ได้เหมือนกัน คือมันก็มีพล็อตอันเดิมยู่แล้ว หนังสือเล่มเดียวกัน แต่ว่าวิธีนำเสนอมันค่อนข้างแตกต่างกันมาก ผมว่าเวอร์ชั่นนี้มันจะแปลกกว่าเยอะ ด้วยโลเกชั่น ด้วยชุด ด้วยตัวละคร ผมว่ามันจะแปลกกว่า คืออันนั้นเนื้อหามันจะแปลกอยู่แล้ว คนที่จะโดนล่ามโซ่ด้วยกันมันก็ประหลาดอยู่แล้ว แต่ผมว่าวิธีการนำเสนอของอันนั้นเนี่ย มันไม่ได้เข้าลึกในเหตุผลของตัวละครเท่าไหร่ แต่ก็ชอบนะ ผมเป็นคนชอบหนังเก่าอยู่แล้ว อันนี้ดูเป็นแรงบันดาลใจซะมากกว่า แต่ที่เราทำกันค่อนข้างฉีกกับสิ่งที่เคยมี ซึ่งผมว่าก็ถูกต้องแล้ว เพราะถ้าเคยทำมาแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่ไปทำให้เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าเรามองกลับไปอาจจะมองให้มันเป็นแรงบันดาลใจสำหรับที่เราจะทำกัน เมื่อกี้พูดถึงฉากที่ถูกผูกติดกันด้วยโซ่ ฉากนี้มันสะท้อนอะไรออกมาบ้าง คือทั้งส่างหม่องกับยุพดีอยากจะอยู่ใกล้ชิดกันมาก พะโป้ก็เลยทำให้สมหวังล่ามโซ่ให้อยู่ด้วยกันตลอดเลย ซึ่งมันก็แล้วแต่เราจะตีความนะ ไอ้ตัวโซ่ก็เป็น Symbolic ของอะไรหลายอย่าง ส่วนตัวผมแค่รู้สึกว่า ในมุมมองของผม ผมรู้สึกว่าเหมือนแบบมนุษย์มันเกิดมาเพื่อให้อยู่เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ การที่จะโดนผูกติดกับมนุษย์อีกคนหนึ่งมันผิดธรรมชาติมาก แล้วมนุษย์ทุกคนต้องการความเป็นอิสระ ในที่สุดการที่ติดกันอย่างนี้มันก็เป็นสูตรสำหรับหายนะอยู่แล้ว คือแบบถ้าดูผิวเผิน มันก็ดูเป็นสิ่งโรแมนติก เราจะได้อยู่ เรารักกัน เราจะได้อยู่เคียงข้างกันตลอดไป แต่บางทีเราไม่ได้คำนึงถึงเรื่องอื่นๆ อย่างตอนจะใช้ห้องน้ำ จะกินข้าว มันมีความลำบากอยู่ตรงนั้น โซ่ก็คล้ายๆ แบบมันเป็นสัญลักษณ์ของการไม่มีอิสระ ความน่าสนใจโดยรวมของหนัง เยอะมาก คือสำหรับผมเหตุผลแรกที่ผมแฮปปี้มากที่ทำหนังเรื่องนี้ก็เพราะว่าหนึ่งคือเราไม่มีหนังแบบนี้กันแล้ว คนไทยไม่ทำหนังสไตล์นี้กันแล้ว และผมก็เบื่อแล้วที่จะดูแบบหนังเด็กนักเรียน หนังผี หนังตลก ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีนะ แต่วงการนี้มันก็ควรจะมีความหลากหลายบ้าง แต่ถ้าพูดถึงเสน่ห์ของเรื่องนี้มันก็มีเยอะแยะ เพราะหนังมันครบรสจริงๆ มีทั้งดราม่า มีทั้งคอเมดี้ มีทั้งทิวทัศน์ มีอะไรหลายอย่างในนั้น ที่มันดูได้ แต่ส่วนตัวผมก็แค่รู้สึกว่ามันสำคัญที่ยังมีหนังอย่างนี้กันอยู่ เพราะว่ามันหายไปเลย คนชอบรู้สึกว่าเราจะต้องตามสูตรกัน คือถ้าทำหนังชนิดนี้มันขายได้ก็แปลว่าทุกคนก็ต้องไปทำอย่างนั้น มันเป็นความคิดที่ไม่พัฒนาเลย เพราะจริงๆ เราเป็นคนทำหนัง เราก็ควรจะมีความรับผิดชอบกับการพัฒนาข้อมูลที่เราจะให้กับคนดู และช่วยพัฒนาคนดูด้วย ก็เลยแบบแฮปปี้มากที่มันมีหนังแบบนี้ออกมาบ้าง ความโดนเด่นในส่วนของงานสร้าง แค่ให้มาดูโปรดักชั่นฉาก, คอสตูม กับโลเกชั่น มันก็ตระการตา แค่นั้นก็คุ้มแล้ว ในส่วนเนื้อหามันก็เป็นหนังที่ดูแล้วจะได้อะไรเยอะ และผมว่าพอจบแล้วคนก็ต้องตั้งคำถามกันเยอะว่า ถ้าคุณเป็นยุพดีคุณจะทำยังไง ถ้าคุณเป็นส่างหม่องคุณจะทำยังไง ผมว่าผู้ชายก็ต้องมาถกเถียงกันด้วย ถ้าอย่างนี้มันเกิดขึ้นกับเรา เราจะทำยังไงกัน มันมีสาระข้อคิดเยอะ คาดหวังกับหนังเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน อย่างไร ผมยอมรับได้อยู่แล้ว ด้วยแนวของหนังเนี่ย แน่นอนอยู่แล้วมันคงยากที่จะขายดีเท่ากับหนังผี หนังตลกหรืออะไรก็ว่าไป แต่ว่าเรารู้สึกว่าด้วยเนื้อหาแบบนี้มันมีคุณค่าต่อคนดู และเราไม่ค่อยแคร์หรอกว่าคนจะเข้าไปดูเยอะหรือว่าเข้าไปดูน้อย ผมแค่รู้สึกว่าถ้าหนังสามารถทำให้คนดูฉุกคิด หยุดคิดซักนิดหนึ่งว่าเราใช้ชีวิตยังไงอยู่ เราใช้ชีวิตอยู่ในอดีต หรือในอนาคต หรือในปัจจุบัน ผมแค่รู้สึกว่าแบบแค่อยากให้มันมีข้อคิดให้คนดูหลังจากที่เดินออกจากโรง มีอะไร มีประเด็นให้เขาไปคิด ไปคุยกัน แค่นั้นก็แฮปปี้แล้ว มันมีอยู่แล้วเรื่องบันเทิงไม่ต้องพูดถึง ผมว่ามันก็เป็นหนังที่ให้ความบันเทิงอยู่แล้ว แต่การที่จะให้บันเทิงอย่างเดียวผมว่ามันไม่พอ ก็เลยขอให้คนดูได้แง่คิดจากหนังด้วยแค่นั้นผมก็แฮปปี้แล้วล่ะ อยากให้คนดูมาถามด้วยว่าทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมอย่างนี้ เขาคิดอย่างนี้จริงหรือเปล่า ตัวละครเขาคิดอย่างนี้ใช่ไหม ผมชอบหนังที่มันทำให้คนมารีแอ็คกับเราได้ เพราะหลายครั้งที่คนเขาถามว่าหนังเป็นไง-ก็ภาพสวยดี หนังไทยมันน่าจะมีมากกว่านั้นนะ ก็ดูได้เพลิน-แล้วดีไหม-ก็โอเค หนังอย่างนี้มันมีประเด็นให้คนคิดเยอะ และมันก็เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะต้องชอบหนังเรื่องนี้ อย่างน้อยทุกคนที่เข้าไปดูเรื่องนี้ ออกมามันต้องมีอะไรซักอย่าง คำถามมันต้องมีอะไรบางอย่าง มันต้องมีข้อคิดอะไรบางอย่าง แค่นั้นก็พอ

คิดอย่างไรกับประเด็นที่ว่าหนังดูยากไปนิดนึง คนมักจะพูดว่าหนังหม่อมน้อยสไตล์อย่างนี้ดูยาก ไม่นะ เรื่องนี้ผมว่ามันไม่ได้ดูยากนะ มันไม่ได้แบบ Abstract มันเป็นหนังนักแสดง เล่าเรื่องตรงไปตรงมาเหมือนกันนะ มันไม่ต้องไปเข้าใจว่าภูเขาเป็นตัวแทนของความยิ่งใหญ่ คือมันจะดูหนังในแง่นั้นก็ได้ อันนี้มันเป็นหนังที่สื่อสารด้วยนักแสดง มันไม่ได้ดูยากเลย โดยพื้นฐานเนื้อหามันก็พูดถึงเรื่องง่ายๆอยู่แล้ว มันก็เป็นเรื่องของความรักซึ่งทุกคนเข้าใจได้ กิเลสของมนุษย์ทุกคนก็เข้าใจได้ ความใคร่ทุกคนก็เข้าใจได้หมดเลย ไม่ได้ยากเลย ผมว่าคนเราคิดมากไปเอง พอเห็นว่าเป็นหนังดราม่าก็คิดไปเองว่าต้องดูยากแน่เลย ไม่จริง เพียงแต่ว่ามันไม่ค่อยมีหนังแบบนี้ทำออกมาแค่นั้นเอง หรือว่าเป็นเพราะคนดูส่วนใหญ่ชอบรับอะไรง่ายๆ มากกว่า ก็ด้วยครับ ก็มีส่วนที่แบบคนดูหลายคนรู้สึกว่าไม่อยากเครียด ผมว่าดูหนังไม่ดีเครียดมากกว่านะ (หัวเราะ) คือไอ้พวกหนังที่แบบไร้สาระแต่ไม่ดีเนี่ย ออกมาจากโรงเครียดเลย เสียตังค์ด้วย เสียเวลาด้วย ดูอะไรก็ไม่รู้ วิธีการทำงานของอนันดา เห็นมีหนังหลายเรื่อง อย่างนี้มีวิธีการแบ่งเวลายังไงบ้าง ส่วนมากผมจะทำงานเป็นล็อตๆ ไปนะ ถ้าสังเกตเนี่ย ผมจะอยู่ตั้งแต่เปิดกล้องยันถึงตอนปิดกล้อง ผมไม่ชอบคิวซ้อนกัน นี่คือส่วนตัวของผมนะ ไม่ใช่ว่าทุกคนทำแบบนี้ได้ ผมชอบทำทีละเรื่องแล้วก็โฟกัสกับมันมากกว่า มันช่วยเราด้วยในเรื่องคาแร็คเตอร์ มันเป็นเรื่องของสมาธิ แล้วผมก็แค่รู้สึกว่าผมชอบที่จะมีเวลารู้จักทีมงาน มีเวลาอยู่ในเซ็ต อยู่ในโลเกชั่น อยู่กับคนทำงาน มันเฉพาะสไตล์ผม ชอบอย่างนี้มากกว่า แต่จะซ้อนก็ทำได้นะ แต่ว่าไม่ชอบเฉยๆ นอกเหนือจากการแสดง ได้อะไรจากหนังเรื่องนี้บ้าง สิ่งที่ได้ที่แบบน่าจะมีผลกับชีวิตผมมากที่สุดก็คือ ผมรักเชียงรายมาก ว่าจะมาซื้อที่ที่เชียงราย มีความรู้สึกว่าเชียงรายในชีวิตผมมันคงไม่ได้จบกับหนังเรื่องนี้ ยังมีความรู้สึกว่าเรายังมีความผูกพันกับมันอยู่ ได้เห็นอีกมุมหนึ่งของเชียงรายที่ทำให้ผมหลงรัก หลงใหลอยู่เหมือนกัน หนึ่งก็คือวิถีชิวิต แต่ว่าเชียงรายยังเป็นเมืองที่มีความดิบอยู่สูงมากในโลเกชั่นของมัน ผมรู้สึกว่าผมอยากจะมามีที่ไว้ที่นี่ก่อน ก่อนที่มันจะเจริญไปกว่านี้แล้วผมจะซื้อไม่ได้ เพราะที่แต่ละที่ในเชียงใหม่ที่เราอยากได้ เราก็ซื้อไม่ได้แล้วอะไรประมาณนี้ ผู้ชมจะได้อะไรจากหนังเรื่องนี้บ้าง ก็แน่นอนอยู่แล้ว ความบันเทิงได้อยู่แล้ว ได้เห็นโลเกชั่นใหม่ๆ อยู่แล้ว ได้เห็นคอสตูมสวยๆ ได้เห็นการถ่ายทำที่สวย แต่สำคัญที่สุดผมว่ามันก็เป็นแง่คิดที่คนดูจะได้จากหนังเรื่องนี้ ผมว่าได้ทั้งแง่คิดและคงได้เรื่องที่กลับไปตีความกันต่อได้ที่บ้าน ผมว่ามันคือแง่คิดที่จะได้จากหนังเรื่องนี้ ผมว่าคนจะได้ดูแล้วก็กลับไปสะท้อนเห็นตัวเองด้วยว่าทุกวันนี้เรากำลังใช้ชีวิตยังไงอยู่ แล้วเราดีกับคนรอบข้างตัวเราหรือเปล่า เรามีเปลือกอยู่รอบตัวเรากี่ชั้นๆ และเราควรจะถอดตรงนั้นออกมาหรือเปล่า มันมีอะไรให้เยอะในหนังเรื่องนี้

อัลบั้มภาพ 11 ภาพ

อัลบั้มภาพ 11 ภาพ ของ คุยกับ อนันดา กับบทบาทที่น่าจับตาใน ชั่วฟ้าดินสลาย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook