คุยกับ ต้อม ยุทธเลิศ ถึง มือปืน/ดาว/พระ/เสาร์

คุยกับ ต้อม ยุทธเลิศ ถึง มือปืน/ดาว/พระ/เสาร์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

มือปืน/ดาว/พระ/เสาร์ ไตรภาคมือปืน กับการหวนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของ ยุทธเลิศ สิปปภาค ต้อม ยุทธเลิศ สิปปภาค ผู้กำกับปากกล้าที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการหนังไทยมานานกว่าสิบปี สร้างสรรค์ผลงานหนังมากเรื่องหลายแนว ทั้งหนังผี หนังตลก หนังรักโรแมนติก ฯลฯ แต่ก็มีหนังอยู่แนวหนึ่งที่คนทั่วไปอาจไม่คิดถึงเขาเท่าไหร่ นั่นก็คือหนังแนวแอ็คชั่น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ผลงานที่แจ้งเกิดให้กับเขาเมื่อ 9 ปีก่อน ก็คือหนังแอ็คชั่นเรื่อง มือปืน/โลก/พระ/จัน นั่นเอง หลังจากร้างราการทำหนังในแนวนี้มาเนิ่นนาน คราวนี้เขากลับไปสู่จุดเริ่มต้นด้วยการทำหนังแอ็คชั่นในแนวดั้งเดิมอีกครั้ง ด้วยการหยิบเอาเรื่องราวของเหล่ามือปืนขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่ แต่เรื่องราวจะเป็นยังไง แอ็คชั่นจะมันส์เร้าใจ หรือฮาแตกแตนกันขนาดไหน หรือหนังจะเป็นภาคต่อหรือไม่ เรามาฟังคำตอบจากปากคำของเจ้าตัวกันเลยดีกว่า ทำไมถึงคิดกลับมาทำโปรเจกต์หนัง มือปืนฯ ต่อครับ แถมยังทำเป็นไตรภาคด้วย ส่วนใหญ่เวลาคุยกับนายทุน เราจะคุยกันหลายโปรเจกต์ แต่ละที่ก็มีความต้องการไม่เหมือนกัน นายทุนก็มีคาแรคเตอร์คนละแบบ และเราก็มีหนังที่คิดจะทำอยู่หลายแบบเหมือนกัน เจ้านี้ก็ชอบอย่างงั้น เจ้านั้นก็ชอบอย่างงี้ หนังรักก็ต้องค่ายนี้ หนังผีต้องค่ายนั้น อย่างของพระนครฟิลม์เนี่ย เขาชอบมู้ดหนังอย่าง มือปืน/โลก/พระ/จัน เราก็มาคิดว่า เออ เราไม่ได้ทำหนังแอ็คชั่นแบบนี้มาร่วม 10 ปี แล้ว ไปวุ่นอยู่กับหนังรักหนังผีอยู่หลายเรื่อง และมันเป็นหนังเรื่องแรกของเรา ตอนนั้นยังทำหนังไม่เป็น เลยคิดว่ายัง ถ้าได้ทำหนังแบบ มือปืน /โลก/พระ/จัน อีกครั้ง ในวันที่ตัวเองทำหนังมา 10 เรื่องแล้วเนี่ย มันจะเป็นยังไง มันก็น่าสนใจ แต่ว่าถ้าทำเรื่องเดียวเนี่ย เหมือนนายทุนเขาไม่สนใจ (หัวเราะ) แต่พอบอกว่า ถ้างั้น 3 ภาคไปเลย ไม่ต้องรอให้หนังประสบความสำเร็จแล้วกลับมาทำภาคต่อ เราทำไปทีเดียวเลยสิ 3 ภาค แล้วทยอยฉายไปทีละภาค ตอนนี้ก็ทำเสร็จแล้วทั้ง 3 ภาค? สองภาคเสร็จไปแล้ว คือตอนนี้ไม่ไหว (หัวเราะ) โจทย์คือต้องทำ 3 ภาค พอโจทย์ผ่าน มันก็กลับมาที่เราว่า ความแตกต่างของ 3 ภาคคืออะไร ถ้าทำหนังผี 3 ภาค ยังไงมันก็เป็นผีวันยังค่ำ ยังไงก็มาทางเดิม แต่ว่าพอเป็นแอ็คชั่น เราคิดว่า เอ๊ะ! เราสามารถทำเป็นหนังที่แตกต่างกัน 3 เรื่อง โดยอยู่ในคอนเซ็ปต์ของคำว่าแอ็คชั่นได้ไหม คือ หนึ่ง เราเป็นแฟนหนังแอ็คชั่นอยู่แล้ว แต่ว่าแอ็คชั่นของเรามันเป็นแอ็คชั่นที่ไม่มีระเบิดใหญ่โต เราไม่มีทุนสร้างมโหฬาร ลืมหนังแอ็คชั่นแบบ องค์บาก แบบ Heat ที่มันโชว์งานโปรดักชั่นไปได้เลย เราคงไม่ได้ไปแข่งตรงนั้น แต่เราชอบ มือปืน/โลก/พระ/จัน ตรงที่ว่าตัวละครแต่ละคนมันมีคาแรคเตอร์ เราคิดว่า ถ้าเราไปเจาะที่คาแรคเตอร์เนี่ย แอ็คชั่นในตัวคาแรคเตอร์แล้วแตกมันออกมา ขยายมันออกมา มันน่าจะเป็นหนังแอ็คชั่นที่ไม่ซ้ำกับที่เราเคยเห็น ไม่ใช่กะจะมายิงกัน ฆ่ากัน หรือว่ามาโชว์ เอฟเฟกต์อะไร จุดเด่นใน มือปืน/โลก/พระ/จัน ก็คือการเอาตลกมาเล่นในบท โดยไม่ได้ขายความเป็นตลก หนังตลกส่วนใหญ่เขาจะปล่อยฟรี ปล่อยไหว ไกด์เรื่องพอเป็นคร่าว ๆ แต่เราคิดว่ามันควรจะอยู่ในบทบ้าง แต่นั่นเป็นความคิดสมัยเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีกันเยอะแยะ ไม่ใช่เรื่องแปลก พี่หม่ำ, ป๋าเทพ ทุกคนก็เล่นหนังแอ็คชั่นกัน เยอะจนมันไม่มีอะไรตื่นเต้นแล้ว นั่นคงเป็นเหตุผลทางการตลาด แต่ของผม ผมยังสนใจที่จะเอานักแสดงเหล่านั้นมาอยู่ในบทของเรา การสร้างคาแรคเตอร์ที่แข็งแรง แต่ว่าคราวนี้ไม่ได้มาเป็นแพ็ค คือมาเป็นแพ็คเหมือนกัน แต่แพ็คถูกแยก แล้วขยาย เหมือนเอาป๋าเทพแยกออกมาเป็นเรื่องนึง ไม่ใช่หนังภาคต่อ มันเป็นหนังคนละเรื่อง มันเกี่ยวข้องกัน แต่ไม่ต่อเนื่องกัน ไม่ใช่ The Lord of the Rings ที่ต้องต่อไปเรื่อย ๆ คุณสามารถดูพระเสาร์ก่อนได้ หรือจะดูพระอาทิตย์ก่อนก็ยังได้ แต่อันแรกคือมือปืน/ดาว/พระ/เสาร์? ใช่ครับ แต่จริง ๆ มือปืน/ดาว/พระ/ศุกร์ เนี่ย เสร็จแล้ว (หัวเราะ) แต่มันเป็นหนังที่ซีเรียส เป็นดราม่าของพ่อลูก ป๋าเทพ กับ พลอย จินดาโชติ ไม่มีพระเอกนางเอก ด้วยเหตุผลทางการตลาด เขาคิดว่ามันหนักเกินไป คนที่เคยดู มือปืน/โลก/พระ/จัน ยังปรับตัวไม่ทัน เขาน่าจะคาดหวังความตลกมากกว่า แต่เราไม่ได้ทำแบบนั้น คอนเซ็ปต์ตอนแรกที่เราวางคือ เราจะเปิดดาวพระศุกร์ก่อนนะ ดราม่ามาก่อน แล้วก็ค่อยโรแมนติกคอเมดี้ ในดาวพระเสาร์ แล้วก็คอเมดี้เพียว ๆ ในพระอาทิตย์ สุดท้ายก็เลยส่งพระเสาร์ออกมาก่อน เพราะมันยังมีความเป็นคอเมดี้สูงกว่า มันจะได้ไม่ทำร้ายจิตใจคนที่คาดหวังมากนัก

พูดถึงมือปืน/ดาว/พระ/เสาร์ ทำไมถึงเลือกโหน่ง (สามช่า) กับคริสมาเล่นครับ คอนเซ็ปต์ก็ยังเป็นตลกเล่นเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าใครจะว่างล่ะ ก็ดูคิวเอา (หัวเราะ) โหน่งนี่เราก็เคยทำงานด้วยกัน เขามีคาแรคเตอร์ที่ทำให้เราเขียนบทนี้ขึ้นมา เพราะว่าเขาเป็นตลกที่มีความน่ารัก มีความเป็นขี้แพ้ ดูไม่เก่ง มันเลยทำให้เราสร้างคาแรคเตอร์ต่อได้ แล้ว คือมันเป็นหนังโรแมนติกคอเมดี้ ไม่ใช่ตลกเพียว คือเรายังชอบมู้ดของการที่ ถ้าตลกอย่างโหน่งไปเกี่ยวข้องกับความรักคนจะสามารถเชื่อได้ไหม ก็เลยเอา คริส (หอวัง) มาเล่นด้วย ที่เลือกคริส เพราะเขาเพิ่งประสบความสำเร็จมาจากรถไฟฟ้า มาหานะเธอ หรือเปล่า ผมไม่แน่ใจเรื่องกระแสนะ แต่เราเคยทำงานกับคริสใน อีติ๋มตายแน่ ซึ่งตอนนั้นคริสก็ยังไม่ดัง แต่เราก็เอามาเล่น ความดังของ รถไฟฟ้าฯ ไม่น่าจะเป็นจุดใหญ่ มันเป็นผลพลอยได้ เป็นโบนัส มากกว่า ถ้าเลือกความดัง เราต้องเอาดังทั้งหมดสิ แต่เราเลือกเอาตามความสนิทสนมมากกว่า พลอย จินดาโชติ ก็ไม่ได้เปรี้ยงปร้างอะไร เราดูลักษณะภาพของคนที่จับปืนแล้วทำให้คนเชื่อได้มากกว่าน่ะ เราเอาตัวนั้นเป็นตัวกำหนด คริสเนี่ย บาลานซ์เขาจะดี แล้วเรารู้สึกว่าถ้าลองไปเล่นคู่กับ โหน่ง มันจะน่าสนใจหรือเปล่า มือปืน/โลก/พระ/จัน หรือ สายล่อฟ้า ถึงจะมีตลกเล่นเป็นหลัก แต่ก็ยังมีนักแสดงนำที่เป็นดาราที่มีชื่อเสียงอย่าง เต๋า สมชาย แต่ในมือปืนดาวพระศุกร์ ดาวพระเสาร์นี่ ไม่มีเลย ตลกเป็นดารานำล้วน ๆ ใช่ ๆ อันนี้คือโจทย์ มือปืน/โลก/พระ/จัน มันยังไม่ชัด อย่างน้อยมันก็ยังมีพระเอกเป็นตัวเดินเรื่อง แต่ครั้งนี้เนี่ย เหมือนเอาโหน่ง เอาป๋ามาเป็นพระเอกเลย ไม่แชร์บทกับคนอื่น ไม่มีตัวช่วย ซึ่งไม่รู้เหมือนกัน ถ้าเกิดเรากลับไปทำแบบ มือปืน/โลก/พระ/จัน มันก็จะเหมือน พล็อตเดิม โครงสร้างเดิม ๆ ถ้ามีโอกาสเราก็ลองฉีก ลองไปให้ถึงที่สุดว่า ถ้าโหน่งคนเดียวเลยล่ะ มันจะเป็นยังไง คือ ถ้าเกิดเอามาจับรวมกันหมด มันจะกลายเป็นหนังแค่เรื่องเดียว มันก็จะอยู่ในฟอร์มเดิม ๆ ถ้างั้นเราก็ตั้งชื่อเป็น มือปืน/โลก/พระ/จัน ภาค 2 น่าจะดีกว่า แต่ลักษณะแบบนี้มันไม่ใช่ไง มันเป็นหนังอีกเรื่อง

เนื้อเรื่องไม่มีความเกี่ยวข้องกัน? ไม่มี จะมีเกี่ยวนิดหน่อย ตรงที่ เป้ ท่าทราย กับ เป๋ ปืนควาย ชื่อและหน้าตามันคล้ายกันไง ไอ้เป้ ท่าทราย มันติดคุกอยู่ มันเลยสลับตัวกัน แล้วไอ้เป๋ ปืนควาย ก็ตายไปแล้วในมือปืนโลกพระจันซึ่งจริง ๆ สองคนก็นี้ก็คือป๋าเทพนั่นแหละ (หัวเราะ) คราวนี้เลยซีเรียสเลย ไม่ตลกแล้ว? ใช่ ซีเรียส เราคิดว่าจริง ๆ ใน มือปืน/โลก/พระ/จัน ป๋าเทพก็ซีเรียสอยู่แล้วนะ แล้วหลังจากนั้นแกก็ไม่ได้ไปเล่นหนังแบบนั้นอีก พอมาถึงมือเรา เราก็อดไม่ได้ ก็เอาแบบเนี้ยแหละ ดราม่าไปให้สุดเลยดีกว่า แล้วแกก็เอนจอย ก็เลยลุยไปแบบนั้น เป็นห่วงเหมือนกันในแง่ของการตลาด ถ้ามันไม่ตลกมันจะเป็นอะไรหรือเปล่า แต่เราก็ตัดให้นายทุนดูแล้ว นี่คือหนังที่เราอยากให้มันเป็น มันคงไม่ใช่ มือปืน/โลก/พระ/จัน มันคือ มือปืน/ดาว/พระ/ศุกร์ น่ะ มันไม่เหมือนกัน แต่เค้าก็รับได้นะ นายทุนยอมทิ้งความตลก ยอมรับความดราม่าได้ แต่ขอพระเสาร์มาก่อนนะ เพราะบางคนอาจจะรับไม่ได้ (หัวเราะ) แต่เราเชื่อว่าถ้าพระเสาร์ฉาย คนดูจะเริ่มเข้าใจแล้วล่ะ ว่าพอพระศุกร์มามันจะเป็นยังไง อ๋อ! มันหนังคนละเรื่อง แต่มันเกี่ยวข้องกันเฉย ถ้าคุณเอนจอยที่จะดูป๋าเทพในบทอีกแบบนึง หรือโหน่งเล่นเป็นมือปืน เล่นในแบบที่ไม่ได้เล่นตลกปล่อยมุกอย่างเดียว มีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจน คือไม่ได้เล่นเป็นตัวเอง เล่นเป็นตัวละครของเรา แต่ตัวละครของเรามันก็ไม่ได้หนีไปจากเขามาก เพราะเราเอาความเป็นตัวเขามาเขียนต่อ เพราะฉะนั้นมันก็ยังดูเป็นโหน่งอยู่ จังหวะการพูด ความเป็นคอเมดี้ ลักษณะการแสดงของเขาที่เราชอบ มันยังอยู่ แต่เราก็ไม่รู้นะว่าความเป็นโหน่งคืออะไร คือบทที่ได้มันให้คาแรคเตอร์ความเป็นหนังเยอะกว่าความเป็นโหน่งน่ะ คือความเป็น ตี๋ ไรเฟิล มันจะลืมความเป็นโหน่งไป แต่การแสดงของโหน่งก็ยังเป็นโหน่งอยู่ เพราะ ตี๋ ไรเฟิล มันไม่มีตัวตน (หัวเราะ) เราเขียนตี๋ ไรเฟิล ให้โหน่ง เขียนจากโหน่ง คริส ก็เหมือนกัน ใช่ คริส จะต้องมาดูว่า คริสมีทักษะอะไร ค่อยมาเขียนบทเขา ในบท คริสก็เล่นเป็นครูสอนบัลเลต์ แล้วดูว่ายิงปืน วิ่งได้ขนาดไหน แข็งแรงขนาดไหน ต้องใช้ปืนอะไร คริสเขาทำได้ค่อนข้างดี ดีแบบ เราคิดว่าน่าจะอาจเป็นหนังไทยที่เห็นผู้หญิงจับปืนแล้วคุณจะเชื่อว่าเขาสามารถยิงคนได้จริง ๆ มันอาจจะทำร้ายจิตใจของแฟนคลับหนังเรื่อง รถไฟฟ้ามาหานะเธอ แน่ ๆ (หัวเราะ) เพราะว่าคริสเขาไปอีกแบบ ไปทางพวกสายเถื่อนน่ะ ข้ามเส้นไปอีกนิดนึงก็ถ่อยเลย (หัวเราะ) แต่ทุกอย่างมันมีเหตุผลที่ขับเคลื่อนให้คาแรคเตอร์มันไปได้ มือปืน/โลก/พระ/จัน หรือในหนังหลายเรื่องของคุณมักใส่ประเด็นแฝงอย่างเรื่องของกฎแห่งกรรมเข้ามา ประเด็นนี้จะเริ่มไม่ค่อยตรง ๆ แบบนั้นแล้ว มันเหมือนการเล่าเรื่องโดยไม่มีบทสรุป เหมือนพูดให้คนเอาไปคิดกันเอาเอง ประเด็นที่พาดพิงเนี่ยไม่ใช่เรื่องกฎแห่งกรรม แต่มันเริ่มกระทบกระเทือนว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นในหนังทั้งหมด มันเกิดขึ้นมาจากการเมือง หรือนักการเมือง ในมือปืน/ดาว/พระ/เสาร์? ทั้งศุกร์ทั้งเสาร์! หนักข้อมาก คราวนี้มันมาในลักษณะการสะท้อนสังคม ณ ตอนนั้น ในหนังมือปืน/ดาว/พระ/เสาร์ เราจะเห็นฉากราชประสงค์ เวลาผู้หญิงผู้ชายเจอกันถามกันว่า "คุณสีอะไร?" พ่อลูกทะเลาะกัน เกลียดกัน เพราะอยู่คนละสี มันจะมีอารมณ์แบบนี้อยู่ในหนัง

แล้วคุณพูดถึงมันในแง่ไหน ในแง่ความปรองดอง ผมไม่ได้จับในแง่ของความปรองดอง แต่ผมจับในลักษณะของผลกระทบ แล้วก็ทิ้งให้คิดว่ามันเกิดเรื่องพวกนี้ขึ้นได้ยังไง เราไม่ควรจะมานั่งปรองดองที่ปลายเหตุไง นึกออกไหม? เราตั้งคำถามว่า ไอ้ผลกระทบแบบนี้ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ มันเกิดขึ้นเพราะอะไร? เรามาตบกัน มาฆ่ากัน แล้วจะมารักกัน มันเป็นไปไม่ได้! มันปลายเหตุ มันต้องย้อนไปคิดว่า มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่? ประเด็นการเมืองที่ว่านี้มีอยู่ในทุกภาค? แต่พระเสาร์นี่มันจะมีเรื่องของการเมืองมาคลออยู่เยอะที่สุด ตัวอย่างที่ตัดไป เราเปิดเรื่องมาว่า ในยุคที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ในยุคที่ความคิดเต็มไปด้วยความขัดแย้ง มันคือยุคทองของสไนเปอร์ คำว่า ยุคทองของสไนเปอร์ เซ็นเซอร์ไม่ให้ผ่าน เขาขอให้เอาออก จริงเหรอ! เอ้า! เราตัดมาแล้ว! เขาให้เอาออก! เพราะพระเอกมัน... พระเอกมันคือสไนเปอร์! แล้วแต่ก่อนมีใครรู้จักสไนเปอร์เหรอ? ไม่ใช่ยุคทองของมันแล้วยุคอะไร? แล้วเมื่อก่อนคนไทยก็ไม่เชื่อหรอกว่ามีการซุ่มยิงจริง ๆ ถ้าไม่เห็นว่าคนโดนโพละ! แล้วสมองหลุดออกมาจากหัวน่ะ! เซ็นเซอร์ไม่ให้ ก็ต้องเอาออกดิ! แล้วตัวหนังจะโดนไหมครับเนี่ย พระเอกก็เป็นสไนเปอร์นี่ ไม่ได้! คือถ้าเป็นอย่างนั้นมันต้องคุยกันยาวน่ะ แต่คิดว่าพยายามคุยกันก่อนน่ะ คือเรตติ้งมันจะมีเหลือกฎข้อนึงคือ หนังที่บั่นทอนความมั่นคง ทำไปแล้วเกิดกลียุคจากการดูหนังเรื่องนี้ (หัวเราะ) แล้วดูแล้วมันจะเกิดกลียุคจริง ๆ ไหม ไม่ ๆ ดูแล้วไม่เกิด เพราะเราไม่ได้พูดว่าใครผิด เราเพียงแต่พูดถึงผลกระทบ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างในสังคมไทย เราไม่ได้ด่าว่าใครผิดใครถูก เราไม่ทำอย่างนั้น เพราะเราเชื่อว่าทุกคนมีเหตุผลของตัวเองเสมอ จะให้พูดก็คือ พวกมรึงผิดหมดแหละ! (หัวเราะ) มันไม่มีใครถูกในเรื่องนี้ แต่เราไม่บอกว่าใครผิด เราเพียงแต่บอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมันส่งผลแบบนี้ ไม่เชื่อว่าดูหนังเรื่องนึงแล้วคนจะกลับมารักกันได้ ไม่ เพราะหนังมันไม่ใช่ต้นเหตุให้คนเกลียดกัน ฉะนั้นการจะดูหนังเรื่องนี้แล้วคนจะกลับมารักกัน ไม่มีทาง เพราะฉะนั้น คอนเซ็ปต์ที่มารณรงค์ให้คนรักกันด้วยหนัง เราคิดว่ามันไม่ใช่ เพราะเราคิดว่าหนังมันไม่ใช่ต้นเหตุให้คนเกลียดกัน ต้นเหตุที่คนเกลียดกันมันก็รู้กันอยู่! นี่ไง! เราไม่ค่อยพูดกันตรง ๆ เราเบี่ยงประเด็นไปเรื่อย ๆ การเผชิญหน้าความจริงของคนไทยมันยังเป็นสิ่งที่ยาก แต่เราก็ไม่ได้ตัดสินว่าใครถูกใครผิด เราแค่บันทึกอารมณ์ บันทึกประวัติศาสตร์ในช่วงนึงว่า เกิดเหตุการณ์แบบนี้ในประเทศไทย แล้วมันมีผลกระทบทางอ้อมกับตัวละครของเรา มันทำให้ตัวละครของเรา... ร่ำรวยขึ้น เพราะว่ามีคนมาจ้างมันเยอะขึ้น ส่วนดาวพระศุกร์ก็มีเนื้อหาอีกแบบ ไม่มีพระเอก เป็นเรื่องของพ่อกับลูกสาวซึ่งเป็นเลสเบี้ยน แล้วจะฆ่ากัน แค่นั้นเอง คือเวลาเราทำงานเราจะปล่อยไปตามโปรเจกต์ โปรเจกต์ตกลงทำ บทมันตามมาทีหลัง แล้วบทมันก็คอนโทรลไม่ได้ด้วยว่าจะให้มันไปทางไหน มันตามอารมณ์ เขียนแบบด้นสด? เออ! ไม่รู้เหมือนกัน มันแค่มีคาแรคเตอร์ จะให้ใครเล่นอะไรดี ป๋าเทพจะเล่นเป็นหนังรัก ไม่มีทางอยู่แล้ว! ต้องเป็นรุ่นพ่อรุ่นลูกอย่างเดียว ใช่มะ? พอเป็นพ่อลูกปุ๊บ ความสัมพันธ์เราจะเล่าแบบไหน เฮ้ย เราเบื่อพระเอกแล้ว ดาวพระศุกร์อาจจะต้องส่งไปฉายตามเทศกาลหนังเกย์เลสเบี้ยน แต่มันไม่ได้เจาะประเด็นนั้นทั้งหมดนะ แต่ว่ามันไม่มีพระเอกนางเอกแน่ ๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หนังมือปืนทั้ง 3 ภาคมันก็เกิดจากความที่คุณอยากกลับมาทำหนังเรื่องมือปืนอีกครั้งนึง? ใช่ คือจริงๆ หนังแบบ มือปืน/โลก/พระ/จัน ทุกค่ายอยากให้ทำหมด เราก็ปฏิเสธ ๆ ๆ ๆ ทุกค่าย จน 10 ปีผ่านไป ก็ทำมาหมดแล้วนี่ อ้าว ย้อนไปซักหน่อย แต่พอย้อนไปแล้ว เรื่องเดียวมันไม่มันส์ ก็เลยต้องทำเป็นแพ็ค เราคิดว่ามันก็เหมือนการทำหนัง 3 เรื่อง มันไม่ใช่หนังภาคต่อ แต่มันเป็นหนังที่เกี่ยวข้องกัน แต่ก็แตกต่างกันคนละเรื่องเลย พระศุกร์กับพระเสาร์ต่างกันคนละโลก แล้วพระอาทิตย์นี่ก็คงจะต่างไปไกลเลย จะไปทางตลกล้วน ๆ เลย อันนี้ยังไม่ได้ทำ ต้องเตรียมงานพอสมควร เพราะรู้สึกว่ามันจะต้องร้อนแรง มันต้องมีลูกบ้าเหมือนระเบิดเพลิง มันเป็นแอ็คชั่นคอเมดี้ มันต้องเต็มที่ ก็รอดูว่าผลตอบรับของสองภาคก่อนหน้าจะเป็นยังไง แต่งบประมาณทั้งสามเรื่องก็คืองบประมาณจากก้อนเดียวกัน ใช่ พระอาทิตย์นี่เราอยากจะดูอารมณ์ช่วงระยะเวลานั้น ๆ ว่าบรรยากาศของประเทศมันเป็นยังไง เราไม่อยากทำก่อน เพราะกว่าจะฉายนี่มันข้ามปีเลย มันนานเกินไป กลัวมันไม่สด เรียกได้ว่า การย้อนกลับไปทำหนังแนวเดียวกับหนังเรื่องแรกของคุณเลยเหมือนย้อนกลับไปหาจุดเริ่มต้น? ใช่ ไม่ใช่สูงสุดนะ ไปสุดแล้วกลับมาที่เดิม (หัวเราะ) เหมือนกับย้อนกลับมาทำงานกับป๋าเทพ แล้วก็ย้อนกลับมาทำหนังในบรรยากาศหนังแอ็คชั่น ซึ่งสมัยก่อนตอนทำตอนนั้นเราว่าหนังเรื่องแรกมันเป็นโปรดักชั่นที่หนักที่สุดในชีวิต เพราะมีทั้งระเบิด มีทั้งสัตว์ เด็ก เอฟเฟกต์ สลิง ครบ แล้วเราไม่เคยทำหนัง ตอนนี้เหมือนเราทำหนังด้วยสติแล้ว

จะบอกว่าตอนนั้นไม่มีสติ? ไม่มี! ตอนนั้นไม่มีสติ ทำด้วยลูกบ้า ลูกลุย ลุยถั่วมาก กูต้องทำ เหมือนคนบ้าทำหนัง ถ่าย ๆ ๆ แล้วตอนนี้ล่ะครับ กลับมาทำหนังแนวเดิม แล้วความรู้สึกเหมือนเดิมไหม เราคิดว่าลีลาเราต่าง ตั้งแต่หัวข้อที่ทำ ตั้งแต่วิธีคิดน่ะ 10 ปีผ่านไป มันจะเห็นเลยว่ามันแตกต่าง ความดิบ ความสด พลัง แรงขับดันในการอยากทำหนัง คิดว่า 10 ปีผ่านไป สิ่งเหล่านี้มันหายไปไหม เราว่ามันเป็นเรื่องของ จังหวะ ความสุขุม การวางน้ำหนักหนังมันจะแตกต่างไป เราถึงมองว่าคนที่ทำหนังเยอะ ๆ น่ะ มันเริ่มจะลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จะเริ่มนิ่ง เริ่มพูดน้อย เริ่มเข้าใจคนเดียวน่ะ! (หัวเราะลั่น) แต่ทำไงได้ละ เราจะไปฝืนตรงได้ไง เพราะธรรมชาติของเรามันมาถึงนี่แล้ว ช่วยไม่ได้ที่มันมีประสบการณ์ มันมีวิธีคิดแล้วนี่ มรึงจะกลับไปลุยถั่วบ้า ๆ บอ ๆ ได้เหรอ? นึกออกไหม? ทำหนังมา 10 เรื่อง จะเดินลงกองแล้วตื่นเต้นเหมือนตอนทำหนังครั้งแรกมันคงทำไม่ได้ (หัวเราะ) เห็นอะไรก็ตื่นเต้นไปหมด อู้หู! ถ่าย ๆ ๆ ตอนนี้เลือกถ่ายด้วยสติน่ะ เราดันไม่ได้ทำหนังตอบโจทย์ตลาดจ๋าไง ถ้าเราตอบโจทย์ตลาดจ๋าเนี่ย เราต้องกลับไปคอนเซ็ปต์เดิมทันที คอนเซ็ปต์ที่ไม่มีทางเสี่ยง เฮ้ย! ต้องตลกเท่านี้ ๆ นะ มุกปล่อยอย่างงี้ ตัวอย่างปล่อยอย่างงี้เลยนะ เอ้า ประสบความสำเร็จได้ แต่คุณทำได้เหรอ? เด็กใหม่ทำได้ เพราะเขาไม่ได้ทำมาเยอะจนรู้สึกเบื่อตัวเองน่ะ อันนี้อาจจะเป็นปัญหาของคนที่ทำหนังเยอะ พวกผู้กำกับหลายคนมันถึงเลิกทำหนังไง มันไม่มีเรื่องอะไรที่น่าสนใจทำ ก็เลยไม่ค่อยทำหนังภาคต่อ ยกเว้น บุปผาราตรี ใช่ แต่ บุปผา นี่ชอบตรงที่ว่ามันจะไปได้อีกขนาดไหน สงสัย (หัวเราะ) อย่างอื่นมันไม่สนุกน่ะ เหมือนช่วงนึงที่เราไม่อินกับหนังรักเท่าไหร่ แต่ผีเนี่ยมันเป็นสิ่งที่ชอบ ก็เลยขลุกกับมันไปเรื่อย ๆ หนังแอ็คชั่นก็เหมือนกัน เหมือนเข้าทางเราน่ะ แต่แอ็คชั่นของเราก็จะไม่เหมือนกับหนังแอ็คชั่นทั่ว ๆ ไป มันเป็นเรื่องของสตอรี่ที่ทำให้คนรู้สึกตื่นเต้น เราไม่ใช่หนังแอ็คชั่นแบบต่อยตี เราเป็นแอ็คชั่นแบบยิงกัน แล้วยิงกันแบบสไนเปอร์ยิงกันน่ะ ปุ ตึง! อ้าว! แต่มู้ดก่อนจะยิง โอ้โห! มันเป็นแอ็คชั่น เราชอบแบบนั้น มือปืนมันเป็นแอ็คชั่นหมดนะ เราว่า มันเหมือนหนังเรื่อง Leon The Professional น่ะ เอาเข้าจริง ถามว่าแอ็คชั่นเยอะไหม? มันไม่ได้เยอะ เป็นแบบ Leon เลย เป็นโลกของนักฆ่า ใช่ ๆ มันคือหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่ตัวพระเอกเสือกเป็นมือปืนเท่านั้นเอง ทำหนังเกี่ยวกับสไนเปอร์นี่ต้องไปรีเสิร์ช เรื่องสไนเปอร์ไหม ไม่ ไม่จำเป็นต้องรีเสิร์ช เพราะว่า ไม่มีใครเคยเห็นสไนเปอร์ (หัวเราะ) ไอ้ ลุค เบซง มันก็ไม่เคยรู้จักมือปืน เราก็ไม่เคยรู้จัก ไอ้ตี๋ไรเฟิล ก็ไม่มีใครเคยรู้จัก เพราะฉะนั้นเราจะทำให้มันเป็นยังไงก็ได้ มันอยู่ในมือเรา แต่ว่าเราต้องทำให้เรื่องของเราสมจริงและมีเหตุลอย่างที่มันควรจะเป็นไง แค่นั้นเอง อย่างน้อยก็ต้องรู้เรื่องปืน อ๋อ ปืนนี่ต้องรู้จักอยู่แล้ว ไอ้หนังมือปืนเนี่ย ต้องศึกษาเรื่องปืนกันเลย แล้วเราวางปืนแต่ละกระบอกเนี่ย ไว้แตกคาแรคเตอร์ คนที่ใช้ปืนก็จะมีคาแรคเตอร์ไม่เหมือนกัน คนชอบปืนสั้นเป็นคนยังไง ปืนเป็นตัวบ่งบอกบุคลิก? ใช่ อย่างคริสทำไมต้องใช้ปืนแบบนี้ คนที่ใช้ปืนแบบนี้คงเป็นคนชอบความทันสมัย ชอบความสวยงาม แล้วคนที่เป็นสไนเปอร์นั่งซุ่มยิงใช้ปืนแบบไหน มันก็ส่งให้คาแรคเตอร์ของโหน่งซึ่งตัวจริงไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นยังไง ไปที่นึงมันเปลี่ยนทรงผม ไปที่นึงมันเปลี่ยนชื่อ ชื่อแม้วมั่ง ชื่อมาร์คมั่ง (หัวเราะ ปรบมือลั่น) คาดหวังยังไงกับหนังเรื่องนี้บ้างครับ เราเข้าใจลักษณะงานของตัวเอง มันเริ่มเป็นสไตล์ มันเริ่มเป็นวิถีที่ชัดเจนของเรามากขึ้น ๆ คือเราแคร์คนดูนะ แต่เราไม่เคยเปลี่ยน (หัวเราะ) ที่จะไปตามใจคนดู มันเลยทำให้เราเป็นห่วงนิดนึง ไม่อยากทำหนังแล้วให้คนลงทุนเค้าเจ๊งน่ะ บรรยากาศในการทำงานมันจะไม่ดีเท่าไหร่ ก็ได้แต่หวังว่า มันน่าจะมีคนชอบหนังแบบนี้อีกเหมือนกัน คนดูชอบหนังตลก แต่อาจจะไม่ชอบตลกแบบที่มีอยู่ แหกออกมาบ้าง มีเรื่องที่มันซับซ้อนหรือเป็นเรื่องเป็นราวไม่ทิ้งขว้าง ตลกที่มีความเป็นหนังนำ ตลกที่รับใช้หนัง ใช่ ๆ ๆ เออ! คำนี้ดี นั่นเป็นสิ่งที่เราอยากทำ

อัลบั้มภาพ 6 ภาพ

อัลบั้มภาพ 6 ภาพ ของ คุยกับ ต้อม ยุทธเลิศ ถึง มือปืน/ดาว/พระ/เสาร์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook