จุดกำเนิดที่แท้จริงของ Iron man

จุดกำเนิดที่แท้จริงของ Iron man

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

Iron Man หนึ่งในผลงานของมาร์เวลคอมิคส์ ที่มีประวัติยาวนานและประสบความสำเร็จ โดยสามารถย้อนกลับไปถึงตอนที่ไอรอนแมนปรากฏตัวครั้งแรกในหนังสือการ์ตูนของมาร์เวล เรื่อง Tales of Suspense ในเดือนเมษายน ปี 1963 อีกตัวตนหนึ่งของไอรอนแมน ซึ่งก็คือโทนี่ สตาร์ก เริ่มกลายเป็นขวัญใจคนดูในชั่วข้ามคืนของวันที่ 2 พฤษภาคม ปี 2008 เมื่อภาพยนตร์เรื่อง Iron man สามารถทำรายได้ในสุดสัปดาห์เปิดตัวไปสูงถึง $98.6 ล้าน เป็นการเบิกเส้นทางไปสู่การทำรายได้จากทั่วโลกในท้ายที่สุดมากกว่า $572 ล้าน แฟนๆ ทุกวัย รวมถึงนักวิจารณ์ต่างหลงรักซูเปอร์ฮีโร่ชุดสีแดงและทองผู้นี้ นอกจากจะโกยเงินอย่างถล่มทลายแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับทั้งรางวัลและเสียงวิจารณ์ชื่นชมมากมาย อาทิเช่น ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงสองรางวัลออสการ์ จนสุดท้าย Iron Man ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกระแสวัฒนธรรมปัจจุบัน เราต้องการจะยึดมั่นต่อเหล่าตัวละครที่ถูกสร้างเอาไว้ในหนังสือการ์ตูน แต่เราไม่อยากเกิดความกลัวที่จะต้องเสี่ยงกับตัวละครของพวกเรา เควิน ฟีก ประธานของมาร์เวล สตูดิโอส์ และเป็นผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์เรื่อง Iron Man 2บอก เราเชื่อว่าเนื้อเรื่องและตัวละครของเรามีความแข็งแกร่งพอที่เราจะสามารถเสี่ยงได้ มันคือความเสี่ยงที่จะพาตัวมหาเศรษฐีเพลย์บอยหนุ่ม จับเขาใส่ชุดเกราะเหล็ก และให้เขาบินไปทั่ว เพื่อช่วยโลก นั่นไม่ใช่เรื่องตามแบบฉบับในปี 1962 ไม่ใช่เรื่องในแบบฉบับของปัจจุบันด้วย มันคือปัจจัยที่พวกเรารู้ดีว่าเราต้องลุกขึ้นท้าทาย และผลตอบรับที่แฟนๆ มีต่อไอรอนแมนและภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เราภูมิใจอย่างมาก สิ่งที่จุดประกายให้ผมสร้างตัวละครอย่างไอรอนแมนขึ้นมา ก็คือ ผมอยากจะเห็นสิ่งที่แตกต่างไปจากซูเปอร์ฮีโร่ตามปกติ สแตน ลี ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ กล่าว ตัวละครอย่างโทนี่ สตาร์กมีเสน่ห์ ประสบความสำเร็จ สมชายชาตรี แต่เขาก็มีด้านที่อ่อนแออยู่ในตัวเช่นกัน เมื่อตอนที่เราเริ่มลงมือเขียนและตีพิมพ์หนังสือการ์ตูน Iron Man ออกมาครั้งแรก เราได้รับจดหมายจากแฟนๆ ผู้หญิงมากกว่าหนังสือการ์ตูนเรื่องอื่นๆ ที่เคยสร้างสรรค์กันออกมา สมัยนั้น ผมว่าผู้หญิงที่อ่านหนังสือการ์ตูนเรื่องนี้ก็คงจะรู้สึกกับ โทนี่ สตาร์ก เหมือนผู้หญิงที่ได้ไปดูภาพยนตร์ภาคแรก และเกิดหลงรัก โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ และความอ่อนไหวที่เขานำไปสู่ตัวละครตัวนี้ ผู้คนทุกวัยต่างเกิดความผูกพันกับด้านที่เป็นตัวมนุษย์ของตัวละครตัวนี้ คำชมที่เราได้รับจากผู้คนเยอะที่สุด ตอนที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวฉาย ก็คือ ปกติฉันไม่ค่อยชอบภาพยนตร์ที่สร้างจากหนังสือการ์ตูนหรอกนะ แต่ฉันชอบ Iron Man มาก ฟีกบอก ผมไม่เชื่อในตัวละครที่แบ่งเป็นชั้น เอ ชั้น บี และชั้น ซี มันขึ้นอยู่กับพวกเรานี่แหละที่จะสร้างตัวละครของมาร์เวลทุกตัวให้กลายเป็นภาพยนตร์แฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จ เพราะในโลกของหนังสือการ์ตูน พวกเราต่างก็เพลิดเพลินไปกับสถานะนั้น พวกเราตื่นเต้นกับความสำเร็จของ Iron Man มาก และพวกเราก็ตื่นเต้นที่พวกเราสามารถแนะนำตัวละครตัวนี้ในแบบที่น่าสนใจและน่าติดตาม แม้ในยามที่เขาไม่ได้ใส่ชุดเกราะเหล็ก แต่เขาก็ยังน่าสนใจเหมือนตอนเขาใส่ชุดเกราะเหล็กของเขา งานนี้ต้องชมโรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ และผู้กำกับจอน แฟฟโรว์ ที่สามารถสร้างตัวละครที่กลายมาเป็นบุคคลที่ทุกคนชื่นชอบนับแต่เริ่มต้นเรื่อง

ความสำเร็จทั้งทางด้านรายได้และคำวิจารณ์จากทั่วโลก ทำให้ผู้กำกับ จอน แฟฟโรว์ และทีมนักแสดงของภาพยนตร์ภาคแรกเริ่มเบาใจ ผมว่าความรู้สึกแรกที่บอกพวกเราว่าเรามีผลงานสุดพิเศษอยู่ในมือ ก็คือตอนที่เราเริ่มตระเวนแถลงข่าวไปตามประเทศต่างๆ ทั้งผลตอบรับและคำวิจารณ์ที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาดีอย่างมาก แฟฟโรว์เล่า แต่เราก็ยังไม่รู้สึกอะไรมากมายจนกระทั่งเราตระเวนไปตามโรงภาพยนตร์ในสุดสัปดาห์เปิดตัว และได้เห็นว่าพวกคนดูตอบรับต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ดีแค่ไหน มันทั้งให้แรงบันดาลใจและน่าปลื้มปิติที่ได้เห็นโรเบิร์ตสามารถเอาชนะความท้าทายต่างๆ ได้ และกับความสำเร็จของภาพยนตร์ภาคแรก เขากลับมาอย่างยิ่งใหญ่ขึ้นและดีขึ้นกว่าที่เคยเป็น นั่นคือเรื่องราวความสำเร็จอย่างสูงที่สุด และที่น่าแปลกก็คือเหมือนเป็นเส้นทางที่เดินคู่ขนานไปกับตัวละครอย่างโทนี่ สตาร์ก จนบางครั้งเหมือนศิลปะได้เลียนแบบชีวิตจริง คุณสามารถจับสายฟ้าใส่ขวดได้ เหตุผลที่ฉันตัดสินใจแสดงภาพยนตร์ภาคแรกเป็นเพราะฉันอยากร่วมงานกับโรเบิร์ต แล้วฉันก็ชอบ จอห์น แฟฟโรว์ มาก กวินเนธ พัลโทรว์บอก ตอนแรกๆ มีคนถามกันเยอะว่าทำไมฉันถึงร่วมแสดงในภาพยนตร์ที่สร้างมาจากหนังสือการ์ตูน แต่ฉันคิดว่ามันให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ และเป็นประสบการณ์ที่ดี แถมยังสนุกมากด้วย ดังนั้น การตอบรับของแฟนๆ ทั่วโลกที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ช่างน่าตื่นเต้นจริงๆ มันทำให้รู้สึกดีมากจริงๆ เมื่อคุณได้พูดคุยกับคนที่ริมถนน และพวกเขาพูดว่า Iron Man คือซูเปอร์ฮีโร่ตัวโปรดของผม เพราะเขาให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนจริงๆ หลุยส์ ดีเอสโพซิโต้ ผู้อำนวยการสร้างบริหารสรุป ภาพยนตร์เรื่องนี้มีตัวละครที่ดี เป็นเรื่องของการไถ่บาปที่ดี และถึงแม้จะมีฉากแอ็กชั่นและความตื่นเต้นอยู่เป็นตันๆ แต่มันให้ความรู้สึกเหมือนเรื่องของซูเปอร์ฮีโร่เป็นส่วนลำดับที่ 2 ซึ่งช่วยทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าถึงกลุ่มคนดูที่กว้างมากขึ้น การจะเข้าถึงกลุ่มคนดูได้กว้างมากขึ้นเป็นเรื่องของการต้องสร้างสมดุลอันแสนเปราะบาง ตามที่ โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ ดารานำของภาพยนตร์เรื่องนี้ บอก ผมว่าโทนของ Iron Man คือสิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผู้ชนะ มีความรู้สึกที่ว่าเรานำเสนอเรื่องราวนี้ออกมาอย่างจริงจัง แต่ก็ไม่ได้จริงจังจนมากเกินไป ผมจำได้ถึงตอนที่ผมไปเทสต์หน้ากล้องของภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมรู้ดีเลยว่าสำหรับผมแล้ว เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ที่จะต้องแสดงให้เห็นถึงด้านที่เป็นปรัชญาและด้านที่ดุเด็ดเผ็ดร้อนของ โทนี่ สตาร์ก ออกมา แต่ขณะเดียวกันก็ต้องมีอารมณ์ขันด้วย และมาถึงการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับภาคต่อ ด้วยความสำเร็จทางด้านรายได้ของ Iron Man จากทั่วโลก ผู้กำกับแฟฟโรว์ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายที่เลี่ยงไม่ได้เมื่อเขาลงมือสร้างภาคที่ 2 ของภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้ ตอนที่เรากำลังถ่ายทำภาพยนตร์ภาคแรกอยู่นั้น เราไม่ได้วางแผนจะสร้างภาพยนตร์ภาคสอง แต่เรารู้ดีว่าถ้าทุกอย่างไปได้สวย ก็น่าจะมีภาคสองแน่ๆดังนั้นเราจึงคิดกันว่าภาพรวมควรจะเป็นอย่างไร และเราจะเดินหน้าไปตรงไหนในแง่ของเรื่องราว ผู้กำกับแฟฟโรว์บอก ความท้าทายในการสร้าง Iron Man 2 ก็คือการยึดมั่นต่อสิ่งที่คนดูเคยเพลิดเพลินในภาพยนตร์ภาคแรก ขณะเดียวกันก็ต้องยกระดับมาตรฐานในทุกแง่มุมออกไป นี่คือเส้นทางที่น่าสนใจแต่บางครั้งก็ค่อนข้างยาก ถ้ามันซับซ้อนจนเกินไป ภาคต่อจะกลายมาเป็นภาพยนตร์ที่ตื่นเต้นมากเกิน และอาจเสียจุดยืน แต่ถ้าคุณไม่ปล่อยของออกมาให้เยอะกว่าในครั้งแรก มันก็จะให้ความรู้สึกว่าเหมือนเดิม ดังนั้นการสร้างภาพยนตร์ภาคสองอาจเป็นของขวัญที่ผสมปนเปกันไปหลายอย่าง ข้อดีของการได้ จอน แฟฟโรว์ มากำกับ ก็คือ เรามีมิตรภาพที่ดี เพราะถึงตอนนี้เราได้ร่วมกันคิด ได้พูดคุยกันถึงโลกของไอรอนแมนมาก็เกือบจะสี่ปีแล้ว ฟีกเล่า เราเหมือนมีรหัสที่ใช้สื่อสารกัน ดังนั้นส่วนใหญ่แล้วเราจึงรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ จอนสร้างผลงานอันน่าทึ่งเอาไว้กับภาพยนตร์ภาคแรก และเราก็เดินตามสิ่งที่เขาเป็นผู้นำทั้งในเรื่องของโทน เนื้อหา และอารมณ์ขัน เมื่อคุณเห็น โทนี่ สตาร์ก และปฏิกิริยาที่เขามีตอนเป็นไอรอนแมน เขาไม่ใช่แค่ซูเปอร์ฮีโร่สุดเท่ แต่เป็นคนที่มีทั้งปัญญาและช่างเสียดสี แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นคนมองโลกในแง่ดี ตัวละครตัวนี้ที่ออกมาเป็นอย่างที่เห็นก็เป็นเพราะคนสองคน คือ จอน แฟฟโรว์และโรเบิร์ต ดาวนี่ย์

ข้อดีอย่างหนึ่งที่เกิดจากความสำเร็จของภาพยนตร์ภาคแรก ก็คือ เราได้กำหนดโทนที่มีความแปลกใหม่และแสนจะเท่เอาไว้ ดังนั้นในการเตรียมตัวเพื่อมาสร้างภาพยนตร์ภาคต่อ มันกลายเป็นว่า เราจะรักษาโทนนี้เอาไว้ต่อไปอย่างไร เจเรมี่ แล็ทแชม ผู้อำนวยการสร้างร่วม บอก โทนคือสิ่งที่ทำให้คนดูรู้สึกเหมือนพวกเขากำลังดูภาพยนตร์เรื่อง Iron Man อยู่ มันทั้งสนุก สุดขั้ว แต่ก็ไม่ถึงขนาดต้องคิดมาก และไม่เป็นการ์ตูน หรือเล่นเรื่องการเมืองจนมากเกินไป ดังนั้นหนึ่งในเป้าหมายใหญ่ของพวกเราในการพัฒนาเรื่องและตัวละคร ก็คือเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างอยู่ในโทนที่เราได้สร้างเอาไว้ตั้งแต่ในภาพยนตร์ภาคแรก เมื่อคุณสร้างโทนและลักษณะจำเพาะเอาไว้แล้ว และคนดูชอบตัวละครตัวนี้ มันทำให้คุณมีอิสระมากมายที่จะกระโดดไปเล่นกับเรื่องอะไรก็ได้ที่คุณอยากจะเล่าต่อไป ฟีกบอก บ่อยครั้งที่เรื่องราวสุดโปรดของเราในหนังสือการ์ตูนคือเรื่องที่ไม่สามารถสร้างออกมาเป็นเรื่องที่โดดเด่นได้ เพราะมันมีเรื่องมากถึง 200 หรือ 300 เล่ม แต่กับภาคต่อ คุณไม่ต้องคิดมากขนาดนั้น เพราะคุณรู้แล้วว่าอะไรที่เคยเวิร์กในภาพยนตร์ภาคแรก และคุณสามารถที่จะเพิ่มเดิมพันได้ การมีโอกาสแบบนั้นก็คือหนึ่งในความสนุกของการสร้างภาพยนตร์ สำหรับแฟฟโรว์และทีมผู้สร้าง การพัฒนาเรื่องของ Iron Man 2 เริ่มต้นขึ้นก่อนที่หน้าแรกของบทภาพยนตร์จะถูกเขียนขึ้นมานานทีเดียว ขั้นตอนการเขียนบท Iron Man 2 มีความโดดเด่น และเริ่มต้นขึ้นก่อนที่จะมีการดึงตัวมือเขียนบทเข้ามาทำงานเสียอีก แฟฟโรว์อธิบาย กับภาพยนตร์แนวนี้ก็มักจะเป็นแบบนี้แหละ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์, เควิน ฟีก, เจเรมี่ แล็ทแชม และอีกหลายคน นั่งลงและเริ่มพูดคุยกันถึงเรื่องต่างๆ เช่นเรื่องที่ทำให้เราสนใจ ตัวละครตัวนี้ควรจะเดินไปในทิศทางไหน จุดไหนที่จะเป็นการเริ่มต้นเดินทางครั้งต่อไป และอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้น คุณจึงเริ่มต้นวางโครงเรื่องหลักๆ ก่อน แล้วค่อยแตกย่อยลงไปถึงฉากต่างๆ จากนั้นเมื่อคุณมาถึงจุดนั้น กระบวนการเขียนบทจริงๆ ถึงได้เริ่มต้นขึ้น สำหรับ Iron Man 2 ทีมผู้สร้างเลือก จัสติน ธีโรซ ซึ่งเป็นแฟนเดนตายของหนังสือการ์ตูนไอรอนแมนมานาน ให้เข้ามาเป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์ เมื่อเร็วๆ นี้ ธีโรซได้ร่วมเขียนบท (กับเบน สติลเลอร์) ให้กับภาพยนตร์ตลกสุดฮิตเรื่อง Tropic Thunder ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ส่งให้ดาวนี่ย์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยม สิ่งที่ดึงดูดผมมาสู่โปรเจ็กต์นี้เป็นอย่างแรกเลยก็คือโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับ โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ อีกครั้ง ธีโรซยอมรับ มันช่วยได้มากที่ผมเป็นแฟนของหนังสือการ์ตูนเรื่องนี้อยู่แล้ว และอันที่จริง ผมเป็นเจ้าของตุ๊กตาไอรอนแมนที่มีชุดผ้ายืดตัวเล็กๆ และมีตัวอาร์ทีเล็กๆ อยู่ตรงกลางซึ่งคุณสามารถขยับได้ ไอรอนแมนคือซูเปอร์ฮีโร่ที่คุณรู้สึกว่าสามารถมีตัวตนจริงได้ในปัจจุบัน ไม่ใช่ของไกลตัว ดูเหมือนจะเป็นไปได้ที่คุณสามารถสร้างชุดเกราะเหล็กที่บินได้จริง นั่นคือสิ่งที่ดึงดูดใจผมมาตั้งแต่เด็กแล้ว ในการเขียนบทให้กับโรเบิร์ต ผมว่ามันเหมือนผมกำลังเขียนบทให้ เจมส์ บราวน์ ธีโรซบอก เจมส์ บราวน์คือนักปราชญ์ทางด้านดนตรีในแง่ที่ว่าเขารู้ดีว่าบทเพลงต้องการอะไรถึงจะประสบความสำเร็จ โรเบิร์ตเองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกันเมื่อถึงเวลาต้องเขียนฉากต่างๆ เขามีวิธีเข้าถึงตัวละครในแบบเรียบง่าย และถึงผมจะเข้าใจในตัวตนของเขาดี แต่ผมก็ไม่เคยพยายามที่จะสรรหาคำพูดที่ไม่เหมาะกับเขาใส่ลงไป เขารู้เลยแหละเวลามีข้อความที่ดูไม่เหมาะอยู่ในบท และเขาจะเป็นคนแรกที่แวะมาบอกว่า เราต้องแก้ไขตรงนี้นิดหน่อยนะ ดาวนี่ย์ผลักดันให้ธีโรซมาเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Iron Man 2 โดยอิงจากประสบการณ์ที่เคยมีมาตอนแสดงภาพยนตร์เรื่อง Tropic Thunder คุณสมบัติข้อแรกของธีโรซก็คือเขาเป็นศิลปินและเป็นคนที่มีความรู้ ใน Tropic Thunder ผมรู้ตอนที่เรากำลังถ่ายทำองก์ที่ 3 อยู่ว่าทุกอย่างที่เขาสร้างขึ้นตั้งแต่เริ่มแรกของภาพยนตร์เรื่องนั้น ได้ส่งผลดีแล้ว ผมชอบความคิดของเขา ชอบอารมณ์ขันของเขา และมุมมองที่เขามีต่อสิ่งต่างๆ เขามีความยืดหยุ่น ผมแค่รู้ว่าเขาคือคนที่เหมาะกับงานของเรา และโชคดีที่คนอื่นๆ ก็เห็นดีด้วย ในการพัฒนาโครงเรื่องของ Iron Man 2 ทางทีมผู้สร้างต้องตัดสินใจว่าองค์ประกอบเรื่องใด และตัวละครตัวไหนที่จะถูกดึงออกมาจากหนังสือการ์ตูน Iron Man มากกว่า 600 ฉบับที่มาร์เวลได้ตีพิมพ์ออกมาตลอดระยะเวลา 42 ปี สำหรับแฟฟโรว์ การมีโอกาสได้หยิบเรื่องไหนก็ได้ที่เขาเลือกขึ้นมาจากเนื้อหาที่มีอยู่อย่างมากมายนี้ มาพร้อมหลุมพรางมากมาย ในภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง เมื่อคุณมีตัวละครเยอะแยะมากมาย เรื่องก็มีแนวโน้มที่จะมีความซับซ้อน และผมว่าภาพยนตร์ภาคต่อหลายเรื่องล้มเหลวก็เพราะพวกเขาสร้างเรื่องที่มีความซับซ้อนหลายระดับมากเกินไป ทั้งในแง่ของตัวละครและพลอตเรื่อง จอน แฟฟโรว์บอก พลอตเรื่องคือสิ่งที่ผมไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ เพราะผมถนัดกับเรื่องที่มีเนื้อหาวกวนไปมา ผมเป็นคนที่ชอบคิดพลอตออกมาคล้ายๆ กัน เพียงแต่มันคือองค์ประกอบในการสร้างภาพยนตร์ที่แตกต่างกันเท่านั้น

ผู้กำกับแฟฟโรว์กล่าวต่อไปว่า เรื่องต้องเกี่ยวพันกับการเดินทางของตัวละคร มีจุดที่เริ่มต้นและจบลง อะไรคือความท้าทายที่พวกเขาต้องเผชิญ และพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ความก้าวหน้าของการเปลี่ยนแปลงตัวเองมักจะเกี่ยวกับการมีช่วงเวลาแห่งความชัดแจ้งที่คุณรู้ว่าต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง จากนั้นก็ต้องทุ่มเทให้กับมัน เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้เพราะเราคือมนุษย์ เราต้องมีสะดุด และอาจล้มลงจากเส้นทาง ต้องเผชิญกับการคุกคาม ซึ่งทำให้เราถอยหลังกลับไปสู่เส้นทางเดิมๆ ในกรณีของโทนี่ สตาร์ก เขาคือคนที่กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายแบบเดิม แต่ก็มีความต่างไปจากสิ่งที่เขาทำในภาคแรก ใน Iron Man โทนี่ควรจะกบดานเงียบๆ แต่เขาได้แรงบันดาลใจจากสิ่งที่เขาคิดสร้างขึ้นมาเพื่อหลบหนีให้พ้นจากการถูกคุมขังอยู่ในถ้ำ และการเปิดเผยเกี่ยวกับจุดยืนในโลกนี้ของเขา เมื่อคุณมีตัวละครเอกที่รวยระดับ โทนี่ สตาร์ก คุณคงอยากสำรวจความยากลำบากและการลองผิดลองถูกในชีวิตของเขา ฟีกกล่าวเสริม เราขว้างลูกเด็ดใส่คนดูในตอนจบของภาพยนตร์ภาคแรกเมื่อโทนี่เปิดเผยตัวเองต่อสาธารณชนในแบบที่ไม่เคยมีซูเปอร์ฮีโร่ตัวไหนทำมาก่อน นั่นคือตัวก่อความตึงเครียดและความขัดแย้งให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ในทันที นั่นคือสิ่งที่เราอยากจะสำรวจต่อไป เราไม่ได้อยากจะเก็บซ่อนความจริงที่ว่า โทนี่ สตาร์ก คือไอรอนแมน จากหนังสือการ์ตูน ผู้คนรู้อยู่แล้วว่าโทนี่คือใคร เราไม่อยากถูกพันธนาการไว้ด้วยความคิดที่จะต้องรักษาตัวตนเอาไว้เป็นความลับ ดังนั้นในการเปิดเผยตัวตนของโทนี่ในตอนจบของภาพยนตร์ภาคแรก เราได้เปิดประตูไปยังทุกแห่งที่เราอยากจะเดินไปไว้แล้ว หนึ่งในข้อได้เปรียบอย่างมหาศาลที่เรามีก็คือหนังสือการ์ตูนมาร์เวลเป็นตั้งๆ ที่มาพร้อมกับเรื่องที่ดีที่สุดที่มีคนเล่ากันมา แล็ทแชม ผู้อำนวยการสร้างร่วมบอก ระหว่างการพัฒนาบทภาพยนตร์ภาคแรก มีหลายฉาก หลายตัวละครที่เป็นตัวโปรดของเรา แต่เราก็พูดกันว่า เก็บเอาะเหมือนกับมีเรื่องเยอะแยะให้พวกเรานำไปเล่าในเรื่องได้หมด องค์ประกอบต่างๆ ที่เราเคยสะสมไว้จากการค้นคว้าในภาพยนตร์ภาคแรก ตอนนี้เราสามารถนำออกมาใช้ได้แล้ว และจัสตินก็ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการรวบรวมหลายสิ่งหลายอย่างใส่ลงไปในบทภาพยนตร์เรื่องนี้โดยไม่ต้องเสียโทนเรื่องที่เราได้สร้างเอาไว้ และอยากจะรักษามันเอาไว้ต่อไป ในบรรดาความท้าทายที่ธีโรซต้องเผชิญในช่วงแรกของการขั้นตอนการเขียนบท ก็คือการต้องหาจุดเริ่มต้นให้กับตัวละครที่มีความซับซ้อนอย่าง โทนี่ สตาร์ก จุดเด่นของภาพยนตร์ภาคสองนี้ก็คือ (ในภาพยนตร์ภาคแรก) เราทิ้งโทนี่เอาไว้ ธีโรซเล่า บัดนี้ เขาได้เดินออกมาจากตู้ในฐานะซูเปอร์ฮีโร่แล้ว ดังนั้น เรารู้ดีว่าการจะพูดถึงเรื่องนี้ก็คือเรื่องบ้าเรื่องแรกที่เราต้องตีให้แตก คุณจะนำเสนอภาพของผู้ชายที่มีชีวิตส่วนตัว รวมถึงมีชีวิตในฐานะคนดังอย่างไร และยังจะต้องสร้างโลกรอบๆ ตัวเขาขึ้นมาด้วย ดังนั้นเราจึงสร้างเหตุการณ์ สถานที่ต่างๆ รวมถึงภาพข่าวที่เหมือนบอกเล่าประวัติที่ผ่านมาว่าเขาทำอะไรบ้างนับแต่ตอนจบของภาพยนตร์ภาคแรก และผู้คนมีปฏิกริยากับเขาอย่างไร ธีโรซเล่าต่อว่า เรายังต้องปรับอีกว่าจะต้องทำอย่างไรเมื่อประชาชน โดยเฉพาะคนที่ทั้งรวยและมีอำนาจ คิดสร้างสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อสมดุลของอำนาจ ไม่ใช่แค่ระดับชาติเท่านั้น แต่เป็นระดับโลก ตอนแรกเราคิดว่ามันคงเป็นปริศนาที่ไขได้ยาก แต่อันที่จริง มันกลับทำให้เรามีแท่นและสนามที่ใหญ่มากขึ้นสำหรับตัวละครตัวนี้ ทำให้เขาดูน่าสนใจและน่าคบหามากขึ้น โทนี่ต้องสร้างสมดุลระหว่างความโด่งดังและความเป็นฮีโร่ และสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณบอกกับโลกว่า ผมคือไอรอนแมน คำประกาศนั้นจะส่งผลดีกับคุณยังไง และมันจะทำให้เกิดปัญหาอะไรบ้าง สำหรับทีมผู้สร้าง คำตอบของคำถามเหล่านี้มีอยู่มากมายในการดำเนินงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง Iron Man 2 นี้ หลังจากได้ถกกันว่าเราสามารถจะเดินไปทางไหนได้บ้าง ในที่สุดเราก็ตัดสินใจที่จะเริ่มต้นเรื่องราวของภาพยนตร์เรื่องนี้หลังจากการแถลงข่าวอันโด่งดังของโทนี่ผ่านไปแล้วหกเดือน แฟฟโรว์อธิบาย ในช่วงเวลานั้น โทนี่กลายเป็นที่สนใจของผู้คน ขณะเดียวกันเขาก็พยายามคิดหาทางอยู่ว่าจะทำยังไงกับสตาร์ก อินดัสทรีส์ เพราะเขาไม่ได้ผลิตอาวุธอีกต่อไปแล้ว ถ้าเขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอเมริกาหลังจากภาพยนตร์ภาคแรก เห็นได้ชัดว่าเขากลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกในภาพยนตร์ภาคใหม่นี้ ความสำเร็จอย่างมหาศาลของ Iron Man ช่วยส่งให้ดารานำอย่าง โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ กลับคืนสู่สถานะดาราระดับโลกอีกครั้ง ผมคิดว่าคนที่ไม่รู้ว่าไอรอนแมนคือใคร คงจะรู้สึกทึ่งไปกับความจริงที่ว่า โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ แสดงเป็นตัวละครตัวนี้ แฟฟโรว์บอก เขาคือนักแสดงที่มีความสามารถระดับที่น่าทึ่ง และผมว่าคนดูต่างกำลังเฝ้ารอให้เขาได้แสดงภาพยนตร์ที่เหมาะกับเขา มันคือหนึ่งในสถานการณ์ที่เนื้อเรื่องและนักแสดงผสมกลมกลืนกันอย่างลงตัว และการให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผมต่อ Iron Man ก็คือการเล็งเห็นถึงความเชื่อมโยงถึงกันนั้น และทำให้มันเกิดขึ้นได้ โรเบิร์ตแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม และยุติข้อกังขาทั้งปวงว่าเขาสามารถเป็นดาราและเป็นผู้เล่นตัวเอกในฮอลลีวู้ดได้อย่างจริงจังแค่ไหน สำหรับดาวนี่ย์ ที่มีผลงานหลัง Iron Man เป็นภาพยนตร์ฮิตโกยเงินอย่าง Tropic Thunderและ Sherlock Holmes โอกาสที่จะได้กลับมาแสดงเป็นมหาเศรษฐีหนุ่มพันล้าน โทนี่ สตาร์ก คือสิ่งที่เขาปลาบปลื้มมาก นับแต่ตอนจบของภาพยนตร์ภาคแรก สาธารณชนเริ่มชอบในตัว โทนี่ สตาร์ก เพราะเขาทำให้โลกเป็นสถานที่ที่สุขสงบและมั่นคง แต่รัฐบาลรู้สึกเหมือนโดนโทนี่คุกคาม เพราะเขาไม่ยอมให้คำตอบกับใครสักคน ผู้กำกับแฟฟโรว์อธิบาย มันอาจจะส่งผลดี แต่มันกลายเป็นเรื่องที่ทางรัฐบาลเป็นห่วงกับการมีชุดเกราะเหล็กทรงพลังที่มีอำนาจทำลายล้างสูงอยู่ในมือของประชาชนที่พวกเขาไม่คิดว่าเป็นคนที่มีความมั่นคงมากที่สุด แฟฟโรว์กล่าวต่อไปว่า เรารู้สึกว่ามีโอกาสที่จะแสดงภาพ โทนี่ สตาร์ก ในฐานะคนที่สามารถเข้าถึงจินตนาการไม่ใช่เฉพาะจินตนาการของคนอเมริกันเท่านั้น แต่ของคนทั่วโลก และยังเป็นพลังที่เป็นเอกภาพด้วย

ดาวนี่ย์ติดตามความเป็นไปในชีวิตของโทนี่ สตาร์ก ตั้งแต่ตอนจบของภาพยนตร์ภาคแรก มาจนถึงตอนเริ่มต้นของ Iron Man 2 ในภาพยนตร์ภาคแรก โทนี่เหมือนอยู่ในโลกมืด เป็นคนที่ต้องมีการตรวจสอบ แต่กับการเริ่มต้นเรื่อง Iron Man 2 คุณจะได้เห็นตัวตนของโทนี่ และเขาได้แสดงตัวตนนั้นให้กับทุกคนรอบตัวเขาได้เห็น เพราะเขาไม่อยากให้ทุกคนรู้ว่าทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่มีหลายอย่างเปลี่ยนไปเยอะมาก เขากำลังสิ้นหวัง การเดินทางของฮีโร่ผู้นี้คือสิ่งที่เขาไม่ได้บอกใคร ไม่ใช่สิ่งที่เขากำลังทำไม่ว่าจะมีหรือไม่มีชุดเกราะเหล็ก และมันยิ่งทำให้เขาเกิดสภาวะอารมณ์ที่ไม่มั่นคงเพราะเขาไม่สามารถเล่าเรื่องนี้ให้เป็ปเปอร์ฟังได้ ดาวนี่ย์กล่าวต่อไปว่า ในระหว่างนั้น โทนี่สังเกตเห็นว่าแบ็ตเตอรี่บนตัวเขาใกล้จะหมดอายุแล้ว ดังนั้น เขาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ค้นคว้าแหล่งพลังงานใหม่ เรารับรู้ตั้งแต่ในภาพยนตร์ภาคแรกแล้วว่าโทนี่กับทางกองทัพมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยจะดีนัก แม้ว่าเขาจะเดินเข้ามาและทำสิ่งที่ถูกต้องที่ทางกองทัพควรให้การสนับสนุน ผมแน่ใจว่าโรดี้ต้องจัดการอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องนั้นแน่ และผมคิดว่ามีความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างเขากับโรดี้ ผู้ที่คอยควบคุมให้โทนี่คงเส้นคงวา รวมไปถึงยังคอยเป็นเหตุเป็นผลและเป็นหลักให้กับบริษัทสตาร์ก อินดัสทรีส์ ก็คือ ผู้ช่วยที่ไว้ใจได้ของเขา เวอร์จิเนีย เป็ปเปอร์ พ็อตต์ส เป็ปเปอร์ที่ไม่เคยหันหลังให้กับเจ้านายที่มีนิสัยแสนประหลาดของเธอแม้ในยามที่เขาต้องเผชิญหน้ากับศัตรูตัวร้าย ได้รับการตอบแทนความดีที่เธอทำงานอย่างสัตย์ซื่อกับสตาร์ก อินดัสทรีส์ ด้วยการได้เลื่อนตำแหน่งเป็นซีอีโอของสตาร์ก อินดัสทรีส์ และนักแสดงสาวที่กลับมารับบทนี้อีกครั้งก็คือ นักแสดงสาวเจ้าของรางวัลออสการ์ กวินเน็ธ พัลโทรว์ เมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้น เป็ปเปอร์กับโทนี่กำลังเข้ากันได้ดีทีเดียว พัลโทรว์บอก พวกเขาชอบกระเซ้าเย้าแหย่กัน และเข้ากันได้ดี แต่เขายังคงเป็นเจ้านายของเธอ เมื่อเรื่องราวเริ่มดำเนินไป เป็ปเปอร์ได้รับอำนาจรับผิดชอบมากขึ้น และได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นซีอีโอของสตาร์ก อินดัสทรีส์ ดีนะที่เราได้เห็นเธอเติบโตขึ้นแบบนั้น ฉันว่าตำแหน่งใหม่ของเธอเข้ากันกับนิสัยของเธอดีทีเดียว เพราะเธอคอยดูแลงานวันต่อวันของบริษัทนี้มานาน เธอเป็นคนดี และเป็นคนติดดิน นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เธอสามารถรับมือกับปัญหาทุกอย่างที่โทนี่โยนใส่เธอได้ โทนี่เลื่อนตำแหน่งเป็ปเปอร์ให้เป็นซีอีโอของสตาร์ก อินดัสทรีส์ และให้อำนาจเธออย่างเต็มที่ในการควบคุมบริษัท ดีเอสโพซิโต้ ผู้อำนวยการสร้างบริหารของภาพยนตร์เรื่องนี้ บอก นี่คือก้าวใหญ่สำหรับเธอและโทนี่ แต่หลังจากที่เธอเข้ารับตำแหน่งใหม่แล้ว ทั้งคู่ก็เริ่มห่างเหินกัน เขาหมกตัวอยู่ในห้องทำงานเพื่อสร้างชุดใหม่ และรับมือกับความขัดแย้งทั้งหมดในภาพยนตร์เรื่องนี้ ขณะที่เธออยู่ในสำนักงานพยายามบริหารจัดการบริษัท มันไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงง่ายๆ เลย เพราะจู่ๆ เธอก็ต้องมารับผิดชอบทั้งบริษัท และวิธีที่โทนี่จัดการธุรกิจของเขาก็ส่งผลกระทบต่อตัวเธออย่างมาก ความสัมพันธ์ระหว่างโทนี่กับเป็ปเปอร์เป็นได้หลายอย่างมาก และลงเอยด้วยการเป็นความสัมพันธ์ที่เปี่ยมอารมณ์ มีเสน่ห์ จนคุณอยากจะเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกันจริงๆ แต่พวกเขาไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ผู้อำนวยการสร้างฟีกเล่าเสริม ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเป็นไปได้สวย และนั่นก็คือสิ่งที่เราอยากจะดำเนินต่อไป ในตอนจบของภาพยนตร์ภาคแรก โทนี่เริ่มพูดถึงค่ำคืนที่เขากับเธอเกือบจะจูบกัน แล้วเป็ปเปอร์ก็พูดว่า อ๋อ คืนที่คุณไม่ได้ไปเอาเครื่องดื่มมาให้ฉัน แล้วคุณก็ปล่อยฉันยืนอยู่ตรงนั้น อย่าพูดถึงมันดีกว่า พวกเขายังคงไม่พูดถึงเรื่องนั้นในอีกหกเดือนต่อมา แต่มันส่งผลต่อปฏิสัมพันธ์ที่พวกเขามีต่อกัน ใบหน้าที่คุ้นเคยอีกคนหนึ่งในโลกของไอรอนแมนก็คือเพื่อนที่ดีของโทนี่ พันโทเจมส์ โรดี้ โรดส์ ขณะที่ทั้งคู่ยังคงมีมิตรภาพที่ดีต่อกัน แต่ทิศทางใหม่ของสตาร์ก อินดัสทรีส์ และการที่โทนี่ปฏิเสธไม่ยอมมอบชุดเกราะไอรอนแมนของเขาให้กับทางกองทัพ ได้สร้างรอยด่างให้เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ของทั้งคู่

โทนี่ไม่สร้างอาวุธอีกแล้ว ดังนั้นบทบาทของโรดี้ในฐานะผู้ติดต่อประสานงานระหว่างสตาร์ก อินดัสทรีส์กับกองทัพสหรัฐฯ จึงไม่มีอีกต่อไป ฟีกอธิบาย ความสัมพันธ์ของพวกเขายิ่งมีมลทินมากขึ้นด้วยการกระทำของโทนี่ โรดี้เป็นเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ แต่ขณะเดียวกัน เขาก็ไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองยืนเป็นตัวกลางที่เลวร้ายระหว่างรัฐบาลกับโทนี่ เขายังเป็นหนึ่งในไม่กี่คน (นอกเหนือจากเป็ปเปอร์) ที่จะพูดความจริงกับโทนี่ และคอยเตือนเขาจากการกระทำที่บ้าระห่ำมากขึ้น ฟีกอธิบายต่อไปว่า พวกเขาได้เจอกันครั้งแรกในที่สาธารณะ และมีหลายอย่างที่โทนี่เชื่อว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ซึ่งโรดี้คงไม่สนับสนุนแน่ โทนี่ไม่สามารถป่ายปีนไปถึงจุดที่เขาต้องการโดยไม่ได้โรดี้ช่วย และโรดี้ก็มีโอกาสที่จะกลายเป็นฮีโร่มากกว่าที่เขาคิดว่าเขาจะสามารถทำได้ ผู้เข้ามารับบทพันโท เจมส์ โรดี้ โรดส์ ใน Iron Man 2 ก็คือดาราชายที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ดอน เชียเดิล ผู้เป็นแฟนหนังสือการ์ตูนของมาร์เวล คอมิคส์มาตั้งแต่เด็ก ตอนเด็ก ผมชอบมาร์เวลคอมิคส์มาก และชอบ X-Men และ Iron Man ที่สุด เชียเดิลเล่า ผมชอบตัวละครเหล่านี้เพราะพวกเขาคือคนที่ทำผิดพลาดได้ เป็นคนที่พบหนทางผ่านภารกิจบางอย่างที่พวกเขาพยายามจัดการในเวลานั้น สำหรับผม มันน่าสนใจที่มีตัวละครที่ถูกแต่งแต้มให้เป็นแบบนั้น ไม่ใช่แค่เป็นสีดำหรือสีขาว เชียเดิลกล่าวต่อไปอีกว่า ในภาพยนตร์เรื่องนี้ โรดี้ไม่เพียงแต่รู้สึกว่าเขาจะต้องเข้าไปจัดการชุดของโทนี่เท่านั้น แต่ยังจะต้องรับผิดชอบและรับหน้าที่ของคนที่มีอำนาจ โทนี่เป็นเพลย์บอย บางครั้งเขาก็ทำตัวไม่ค่อยจริงจังกับสิ่งต่างๆ สักเท่าไหร่ และความตั้งใจของโรดี้ก็คือ นายมีเทคโนโลยีที่สุดยอดแบบนี้ นายจะทำอะไรกับมัน ดอน เชียเดิลเป็นคนฉลาด มีความสามารถสูง เป็นคนที่ถามคำถามยากๆ ที่แสนฉลาด และนั่นคือนักแสดงในแบบที่ผมชอบมากๆ แฟฟโรว์บอก เขาไม่ใช่คนที่สักแต่จะตั้งคำถามถามไปเรื่อยๆ เขามีมุมมอง และมีความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องต่างๆ และเวลาที่ดอนเกิดอยากรู้เรื่องอะไรขึ้นมา ปกติมันจะเป็นสำคัญ เพราะมันเป็นจังหวะในฉากนั้นๆ ที่อาจไม่มีใครคิดถึง ดอนแสดงเข้ากับโรเบิร์ตได้อย่างเป็นธรรมชาติ และสามารถประชันบทบาทกับเขาได้ในแบบที่ตัวละครของเขาต้องเป็นในภาพยนตร์เรื่องนี้ ผู้อำนวยการสร้างร่วม แล็ทแชม บอก ตอนที่เราอยู่กันที่งานคอมิคคอนเมื่อเดือนกรกฏาคมปีที่แล้ว มันน่าดีใจที่เห็นแฟนๆ ให้การต้อนรับดอนสู่ภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้เป็นอย่างดี ดาวนี่ย์กล่าวว่า ดอนเก่งมากทั้งในฐานะบุคคลและในฐานะนักแสดงกับการสานต่อสิ่งที่อีกคนได้ทิ้งเอาไว้ เขาเลือกที่จะยึดมั่นกับตัวละครและความจริงจังของเรื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวินัยเพราะเขาเป็นนักแสดงที่มีเสน่ห์ที่เป็นธรรมชาติมาก แน่นอน ผลที่ออกมาก็คือเขายังคงได้บทพูดเจ๋งๆ ในภาพยนตร์เรื่องนี้เยอะมาก เมื่อ เป็ปเปอร์ พ็อตต์ส ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นซีอีโอของสตาร์กอินดัสทรีส์ ตำแหน่งของเธอยอมต้องมีคนมาแทนที่ เธอผู้นั้นก็คือนาตาลี รัชแมน พนักงานสาวหน้าใหม่สุดเซ็กซี่ที่โทนี่แต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยคนใหม่ของเขาทันทีที่เธอเดินเข้ามาพบเขาในระหว่างการประชุมกับแฮปปี้ โฮแกน เมื่อเป็ปเปอร์ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นซีอีโอ โทนี่ต้องการผู้ช่วยคนใหม่ คนที่จะคอยดูแลชีวิตประจำวันให้กับเขา ฟีกอธิบาย นาตาลีเดินเข้ามาในห้องเพื่อนำเอกสารมาให้เป็ปเปอร์เซ็น เห็นได้ชัดว่าเธอสะดุดตาโทนี่ และเขาก็จ้างเธอในเวลานั้นเลย ครั้งต่อมาเมื่อเราได้เห็นเธอ เธอทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของเขาอยู่ในโมนาโค แต่ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น เธอไปอยู่ที่นั่นด้วยเหตุผลบางอย่าง ซึ่งต่อมาเราถึงได้รู้เกี่ยวกับอีกตัวตนหนึ่งของเธอ ซึ่งก็คือแบล็ควิโดว์ ผู้ที่ต้องแสดงเป็นทั้งนาตาลี และต่อมา ยังต้องสวมใส่ชุดไลกร้าสุดเซ็กซี่

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ ของ จุดกำเนิดที่แท้จริงของ Iron man

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook