สัมภาษณ์ผู้กำกับ โฮเวิร์ด แม็คเคน จาก Outlander

สัมภาษณ์ผู้กำกับ โฮเวิร์ด แม็คเคน จาก Outlander

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ถ้าคุณเป็นแฟนเดนตายหนังไวกิ้ง ไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมตัวเองถึงต้องหันมาให้ความสนใจกับเรื่องล่าสุดของผู้กำกับ โฮโฮเวิร์ แม็คเคน เป็นพิเศษ ถ่ายทำกันในแถบชายฝั่งทางตะวันออกของประเทศแคนาดา Outlander นำแสดงโดย จิม คาวีเซล ที่รับบทเป็นมนุษย์ต่างดาวที่ชื่อ ไคแนน โดยยานของเขาตกมายังโลกมนุษย์ในยุคสมัยไวกิ้ง เขาได้ร่วมมือกับชาวไวกิ้งพื้นเมืองในการต่อกรกับสัตว์ประหลาดสุดอันตราย มัวร์เวน ที่ตกลงมายังโลกพร้อมกับเขา วันนี้เราได้มานั่งพูดคุยกับ ผู้เขียนบท/ผู้กำกับ โฮเวิร์ด แม็คเคน ถึงเรื่องการออกแบบสัตว์ประหลาดอันน่าประทับใจของ แพ็ททริค ทาโทพูลอส และความหวังของแฟนๆที่มีต่อโปรเจ็คมหากาพย์นี้ ที่ยังร่วมแสดงโดยกลุ่มนักแสดงชั้นนำอย่างจอห์น เฮิร์ต, โซฟี่ย์ ไมลส์, รอน เพิร์ลแมน และ แจ็ค ฮูสตัน หลานชายแท้ๆของผู้กำกับในตำนาน จอห์น ฮูสตัน

แรงบันดาลใจของคุณมาจากไหน? ผมจำได้เมื่อปี 1992 ตอนผมเรียนอยู่ใน NYU Film School ผมเห็นนิตยสารโบราณคดีที่มีรูปเรือไวกิ้งอยู่บนปก พวกเขาสร้างมันขึ้นมาใหม่เพื่อล่องเรือข้ามไปยัง Newfoundland ประกอบกับที่ตัวเองใฝ่ฝันที่จะสร้างเรื่อง Beowulf เพราะตอนนั้นยังไม่มีการสร้างเรื่อง Lord of the Rings แต่อย่างใด ผมคิดว่าคงไม่มีใครบ้าพอหรอก ที่จะเชื่อว่ามีสัตว์ประหลาดในยุคไวกิ้ง ผมจึงตัดสินใจเก็บไอเดียอันนี้เอาไว้บนหิ้งก่อน ต่อมาในปี 1998 ผมยังคิดเสมอว่านี้เป็นไอเดียที่เจ๋ง และมันก็ยิ่งลงตัวเมื่อใส่เอาความเป็นนิยายแนววิทยศาสตร์เข้าไป ซึ่งก็ทำให้เรื่องราวดูคล้องจองกับโลกของ Beowulf มากขึ้น ตอนแรกนั้นตัวเอกของเรื่องคือ Beowulf และก็ยังมีสัตว์ประหลาดอย่าง เกรนเดล ตัวแทนของผมชอบบทภาพยนตร์นี้มาก แต่เขาบอกว่าไม่ชอบ Beowulf ตรงที่มันคือบทกลอนที่ทุกคนถูกบังคับให้อ่านในตอนเด็ก ดังนั้นผมจึงต้องปรับเปลี่ยนมันนิดหน่อย จนในที่สุดก็กลายมาเป็น Outlander อย่างที่เห็น

มันลำบากแค่ไหนในการขายบทภาพยนตร์เรื่องนี้? ผมเริ่มต้นด้วยการเป็นคนเขียนบทภาพยนตร์ ถึงแม้ว่ามันจะขายไม่ได้ในตอนแรก แต่มันก็ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองอยากทำอะไรเป็นอาชีพ ดูเหมือนทุกคนจะชอบ Outlander ณ.ช่วงเวลาหนึ่ง มันถูกเตรียมแผนการที่จะสร้างหลายครั้ง ผู้กำกับ เรนนี่ ฮาร์ลิน เกือบจะได้สร้างเสียด้วยซ้ำ จนเมื่อสองสามปีที่แล้ว พวกเราก็พยายามลงทุนสร้างด้วยตัวเอง แพ็ททริค ทาโทพูลอส เพื่อนของผมก็ช่วยออกแบบสัตว์ประหลาดให้เราโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย จนในที่สุดเราก็ได้เจอกับสตูดิโอภาพยนตร์อย่าง Ascendant Pictures ที่มีผลงานอย่างเรื่อง Lucky Number Slevin และ แบร์รี่ ออสบอร์น ที่เป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับ Lord of the Rings ทั้งสามภาค พวกเขาให้ความสนใจบทภาพยนตร์นี้มากจนตกลงเข้าร่วมโปรเจ็ค นี้คือช่วง 2 ปีที่แล้ว ตอนนั้นเราวางแผนจะไปถ่ายทำที่ประเทศนิวซีแลนด์ ด้วยทุนสร้างที่มากกว่านี้ และบริษัท Weta ก็ตกลงที่จะทำเอฟเฟ็คให้กับเราแล้ว แต่เพราะว่านี้เป็นภาพยนตร์อิสระที่ไม่มีความแน่นอนใดๆ ในที่สุดทุกอย่างก็ต้องเป็นอันล้มเลิกก่อนลงมือสร้าง นั้นเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากๆ ช่วยอธิบายถึงคอนเซ็ปต์ในการออกแบบหน่อย? เพื่อนของผม เอียน แม็คเคร็ก ที่เป็นหนึ่งในผู้ออกแบบตัวละครให้กับ Star Wars ทั้งสามภาคเป็น รวมถึงศิลปินคนอื่นๆที่ลาออกจาก LucasFilm และย้ายมายังแอลเอ เพื่อตั้งบริษัทที่ทำเกี่ยวกับการออกแบบ Ninth Ray Studios พวกเขาได้ออกแบบงานสร้างให้กับ John Carter: Warlord of Mars และยังออกแบบหนังฮิตประจำซัมเมอร์ที่แล้วอย่าง Iron Man ของผกก. จอห์น ฟาร์โรว์ อีกด้วย ก่อนที่โปรเจ็คที่ประเทศนิวซีแลนด์จะล้มเลิก พวกเราได้จ้างให้ทางบริษัทใช้เวลาประมาณ 10 อาทิตย์ ในการออกแบบงานสร้าง ทั้งเรื่องอาร์ทเวิร์ค, สตอรี่บอร์ด และอื่นๆ ซึ่งมันก็ออกมายอดเยี่ยมมาก และก็ยังแพงมากอีกด้วย (หัวเราะ) ได้ยินมาว่า Outlander ถูกจั่วหัวว่าเป็น Vikings เจอกับ Predator แต่ จิม คาวีเซล บอกกับทางเราก่อนหน้านี้ว่า มันเหมือนกับ Braveheart เจอกับ Highlander มากกว่า คุณคิดว่าอย่างไรบ้าง? ผมคิดว่ามันเหมือนกับ Predator เจอกับ Braveheart น่ะ แต่มันอาจฟังดูน่าขันไปหน่อย ผมคิดว่า Highlander เจอกับ Braveheart น่าจะเป็นอะไรที่ถูกต้องที่สุด แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังมีการผจญภัยและความโรแมนติค มันไม่ใช่เรื่องของการต่อสู้เพียงอย่างเดียวแบบที่ Predator เป็น ผมว่ามันใกล้เคียงกับ Braveheart มากที่สุด เพราะคุณสามารถลงลึกไปในรายละเอียด และเข้าใจในความเป็นตัวตนของโลกไวกิ้ง สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมภูมิใจที่สุด ก็คือคุณจะเข้าใจถึงวัฒนธรรมของโลกใบนี้ก่อนที่พระเอกจะเดินทางมาถึงซะอีก มันมีเรื่องของความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสองเผ่าที่ไม่เกี่ยวข้องกับพระเอก แต่ในที่สุดมันก็ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลักในที่สุด เพราะผมว่ายังมีหนังจำนวนมากที่รอให้พระเอกปรากฎตัวขึ้นก่อน แล้วเนื้อเรื่องถึงจะค่อยเริ่มถูกเล่า แต่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ พระเอกก็เข้ามาในเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินไปอยู่แล้ว

คุณคิดอย่างไร กับการเลือก จิม คาวีเซล เข้ามารับบทเป็น ไคแนน ? เขาแสดงด้วยความมีชีวิตชีวา ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมต้องการในตัวละครอย่าง ไคแนน ผมอยากได้นักแสดงที่มีจิตวิญญาณ มีนักแสดงหลายคนที่ผมได้รับคำแนะนำในการมารับบทนี้ ผมไม่สนใจว่าทีมงานจะสร้างฉากต่อสู้ได้ดีแค่ไหน เพราะผมสนใจถึงเรื่องตัวละครมากกว่า มันเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่งที่เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ มันเกี่ยวกับการที่เขาได้เรียนรู้ที่จะรับผิดชอบในสิ่งที่เคยทำผิดพลาดในอดีต มันเหมือนกับเป็นกรรมเก่าที่คุณจะรับรู้เรื่องราว จากความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสัตว์ประหลาดตัวนั้น นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกสนใจ สัตว์ประหลาดตัวนั้นก็คือหนึ่งในตัวละครหลัก มันไม่ใช่แค่เครื่องจักรสังหาร มันมีความหลังกับพระเอกมาก่อน และเรื่องราวเหล่านั้นก็เกิดขึ้นอีกครั้งบนโลกแห่งนี้ ผมชอบมัน ผมชอบเรื่องราวที่ให้คำนิยามกับตัวเองขึ้นมาใหม่ ผมชอบเรื่องราวที่สามารถให้รายละเอียดถึงความเป็นมาได้ ซึ่ง จิม ก็สามารถใส่เอาจิตวิญญาณ และความน่าเชื่อถือเข้าไปในบทที่ต้องการสิ่งเหล่านั้น มันเหมือนมีบางอย่างที่ดูไม่ใช่มนุษย์โลกในตัวเขา ทั้งเรื่องหน้าตา,กิริยาท่าทาง และลักษณะนิสัยของเขา เขาดูต่างจากชาวไวกิ้งอย่างสิ้นเชิง เขายังเป็นผู้ชายที่น่าร่วมงานด้วย เขาเป็นคนที่มีความอบอุ่น คุณยังได้ร่วมงานกับนักแสดงฝีมือดีคนอื่นๆ ทั้ง จิม, จอห์น เฮิร์ต, โซฟี, รอน เพิร์ลแมน, แจ็ค ฮูสตัน มันสำคัญมากแค่ไหน ในการคัดเลือกนักแสดงเหล่านี้? ผมคิดว่าสาเหตุที่เราได้กลุ่มนักแสดงที่เราต้องการ เพราะว่าเราใช้จุดขายที่ว่า Predator เจอกับ Braveheart อย่างเช่นตอนที่ จอห์น เฮิร์ต ได้รับบทภาพยนตร์นี้ เขาพูดขึ้นทันทีเลยว่า "นี้คุณล้อเล่นหรือเปล่า ไวกิ้งกับเอเลี่ยนเนี่ยน่ะ" เขาและภรรยาทำตาหรี่แบบไม่อยากเชื่อ แต่เมื่อเขานั่งอ่านบทภาพยนตร์ จอห์น ก็พูดว่า "เดี่ยวก่อน นี้มันไม่ใช่อย่างที่ผมคิดเอาไว้เลย" และเขาก็อ่านต่อไปอีกสักพักก่อนพูดว่า "นี้มันเยี่ยมจริงๆ" และนั้นก็ทำให้เราได้นักแสดงที่มากฝีมือคนนี้ ส่วน โซเฟีย ก็เป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยม เธอทำได้อย่างที่เราต้องการทุกอย่าง แจ็ค ที่เป็นหลานของ จอห์น ฮูสตัน ก็วิเศษ เขาเป็นนักแสดงหนุ่มที่มีอนาคตไกล แน่นอนว่ามันคือหนังไวกิ้ง ดังนั้นคุณต้องแสดงออกมาในมุมมองของชาวยุโรป ดังนั้นมันก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ถ้า จิม จะพูดอังกฤษสำเนียงอเมริกัน เพราะว่าเขาก็เหมือนกับคนต่างถิ่น แต่คนอื่นนั้นต้องพูดในสำเนียงที่ต่างออกไป เพื่อให้คนดูชาวอเมริกันเชื่อว่าพวกเขาคือไวกิ้งจริงๆ และก็ยังมีอีกเรื่อง คือตอนแรก จิม จะต้องพูดภาษาต่างดาว ก่อนที่จะเรียนรู้ภาษาของชาวไวกิ้ง ซึ่งทำให้เราต้องคิดค้นภาษาใหม่ขึ้นมา พวกเราตัดสินใจที่จะใช้ภาษานอร์เวย์โบราณ โดยไปที่ไอซ์แลนด์และได้พบกันศาสตราจารย์ โ ดยเขาเป็นคนเดียวในโลกที่สามารถพูดภาษานี้ได้ พวกเราให้เขาช่วยแปลบทพูดที่เราเตรียมมาให้ และสอนให้ จิม ฝึกออกสำเนียงของภาษานั้นให้ได้ ดังนั้นคงไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยไปนัก ที่จะบอกว่าหนังของเราคือเรื่องแรกในประวัติศาสตร์ที่ใช้ภาษานี้ คุณกับ แพ็ททริค ทาโทพูลอส ตัดสินใจออกแบบ มัวร์เวน ให้ออกมามีลักษณะเช่นไร? พวกเราชอบโลกของ มอร์ล็อค ใน Time Machine นวนิยายแนววิทยาศาสตร์สุดคลาสสิคของ เอช จี เวลล์ ดังนั้นเราจึงตั้งชื่อของมันเสมือนกับการให้เกียรติ เริ่มแรกเลย ผมไม่อยากได้สัตว์ประหลาดที่เป็นเครื่องจักรสังหาร คือหลังจากเรื่อง Alien และ Predator สัตว์ประหลาดที่ถูกสร้างออกมาก็ตกอยู่ใต้เงาของสองตัวนั้น สิ่งแรกที่เราคิดถึง มัวร์เวน ก็คือ การที่จะทำให้มันกลายเป็นตัวละครตัวหนึ่งในเรื่อง ซึ่งมันต้องสำคัญมากกว่าที่จะเน้นแต่เรื่องสรีระร่างกายและการออกแบบ เมื่อคุณลงไปในกระบวนการออกแบบ แพ็ททริค และผมก็คิดถึงบางสิ่งที่จะดูน่าเกรงขามในเงามืด มันควรจะมีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเอง และสัตว์ประหลาดตัวนี้ต้องมีรูปร่างเหมือนกับสัตว์ มันอาจจะเป็นสัตว์ประหลาดสำหรับพวกเรา แต่มันก็เป็นเพียงสัตว์ประเภทหนึ่ง นั้นคือสิ่งที่ทำให้เรามุ่งหน้าไปอีกทางหนึ่งเลย เพราะคุณไม่ต้องการสร้างอะไรที่มันดูโอเวอร์ และไม่สามารถบอกได้ว่าเรากำลังดูตัวอะไรอยู่บนจอภาพยนตร์ นี้คือตัวละครที่มีสังคมในโลกของพวกมันเอง มันอาจจะอยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร แต่มันก็ต้องสามารถมีอยู่จริงในโลก ด้วยความคิดเหล่านี้ คุณสามารถสร้างอะไรที่น่าสะพรึงกลัวได้ เมื่อคุณเห็นดีไซน์ของ H. R. Geiger ที่ออกแบบสัตว์ประหลาดในตำนานอย่าง Alien มันอาจจะดูไม่เหมือนกับสัตว์ชนิดไหนในโลกเลย มีหลายคนที่คิดแทบหัวแตกกับโจทย์ที่ยากเช่นนี้ แต่ แพ็ททริค ก็คิดออกได้อย่างทันที เขาได้นำเอาคววามเฉียบคม, อารมณ์ และบุคคลิกภาพ และความฉลาดของสิ่งมีชีวิตตัวนี้เข้าในสิ่งนี้

แล้วมันจะปรากฎตัวอยู่ในภาพยนตร์อย่างไร? มันสามารถเรืองแสงได้ มันอาศัยอยู่ในป่าและออกล่าตอนกลางคืน คุณก็จะไม่เห็นถ้ามันไม่อยากให้คุณเห็น แน่นอนว่าไวกิ้งคงจะไม่มีโคมไฟบนถนนตอนกลางคืน ดังนั้นแสงไฟเดียวที่พวกเขามีก็คือคบเพลิง มันจะไม่เหมือนกับเรื่อง Predator คุณจะไม่สามารถมองทะลุมันได้ มันใช้แสงสว่างในการล่อเหยื่อเข้ามาหา ซึ่งเป็นอีกไอเดียที่ยอดเยี่ยมในการออกแบบของ แพ็ททริค ได้ยินมาว่า คุณสร้างหมู่บ้านและเรือไวกิ้งขึ้นมาจริงๆเลย? ใช่ และมันก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่เราต้องเผามันในตอนจบ พวกเราได้สร้างเรือที่สวยงามที่สุดลำหนึ่ง ผมได้ไปที่นอร์เวย์เพื่อทำการค้นหาข้อมูล พวกเราไม่สามารถถ่ายทำกันที่นอร์เวย์ได้ เพราะว่ามันเป็นสถานที่ที่ค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก ผมไปที่พิพิธพันธ์ในกรุงออสโล มีเรือไวกิ้งโบราณที่ชื่อ Oseberg โดยมันเป็นเรือที่ถูกขุดขึ้นมา พวกเราวัดได้ว่ามันมีความยาวตลอดลำ 77 ฟุต พวกเราต้องทำให้มันสั้นลงมา 10 ฟุต เพราะว่าเราไม่สามารถขนมันไปตามถนนได้ มันถูกสร้างออกมาให้เหมือนกับเรือไวกิ้งมากที่สุดแล้ว เมื่อพวกเรานำเรือลงน้ำ มันก็เป็นภาพที่ตระการตามาก แม้สุดท้ายเราต้องเผามันให้มอดไหม้ไปหมดสิ้น พวกเราสร้างหมู่บ้านที่ ฟาร์ม Nine Mile ที่ถูกน้ำท่วมหนึ่งครั้งระหว่างการถ่ายทำ เมื่อเราไปถึงที่นั้น และสำรวจสถานที่ในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน เพราะด้วยงบประมาณที่จำกัด พวกเรามีทีมงานของตัวเองในการตัดไม้ เพื่อนำมาสร้างรั้วไม้ยาวประมาณ 800 ฟุตที่สูงขึ้นไป 20 ฟุต พวกเรายังต้องสร้างบ้านไม้ซุงตามความเป็นจริงในประวัติศาสตร์ มันใช้เวลาประมาณสามเดือนในการสร้างหมู่บ้านที่ใหญ่โต มันก็เป็นเรื่งที่น่าเศร้าเช่นกัน ที่มันต้องถูกรื้อลงในตอบจบ

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ ของ สัมภาษณ์ผู้กำกับ โฮเวิร์ด แม็คเคน จาก Outlander

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook