บทสัมภาษณ์ จีจ้า ญาณิน

บทสัมภาษณ์ จีจ้า ญาณิน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
4 ปีเต็มทุ่มทั้งชีวิตให้กับหนังเพียงเรื่องเดียว ทุกเฟรมคือการทุ่มเททุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ทุกช็อตของ ช็อคโกแลต คือหยาดเหงื่อและลมหายใจ ของแอ็คชั่นฮีโร่หญิงคนใหม่ที่โลกต้องจับตาจีจ้า ญาณิน Q.เชื่อว่าหลายๆคนคงนึกไม่ถึงว่าผู้หญิงหน้าตาแบบนี้จะเล่นหนังแอ็คชั่น คิวบู๊โลดโผนแบบเดียวกับ จา พนม ก่อนอื่นคงต้องให้ให้แนะนำตัวเองให้เราได้รู้จักจีจ้า ญาณินมากยิ่งขึ้น A. สวัสดีค่ะ ชื่อจีจ้า ญาณิน วิสมิตะนันทน์ อายุ 23 ปี จ้าเรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนลาซาล บางนา ตอนเด็กค่อนข้างเรียบร้อยและขี้โรค ไม่ดื้อ ไม่ซน คุณแม่จะสนับสนุนให้เรียนบัลเลต์ ส่วนกิจกรรมของโรงเรียนก็จะเกี่ยวข้องกับความสวยความงามเช่น เชียร์ลีดเดอร์ ถือป้าย จะไม่เล่นกีฬา เน้นแต่งตัวสวยๆ แต่งหน้าสวยๆมากกว่า พอจบชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียน ลาซาลบางนา ก็ย้ายมาเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ตอนนั้นนิสัยเริ่มเปลี่ยน เพื่อนเริ่มเยอะขึ้น ก็จะมีทะโมนบ้าง ส่วนเรื่องเรียนจ้าจะเป็นคนที่เรียนปานกลาง ไม่เก่งมาก ชอบเรียนวิชาภาษาไทย ช่วงนี้จะเริ่มเป็นนักกีฬาแล้ว เริ่มเล่นกีฬาเทควันโด จริงๆแล้วเริ่มเล่นมาตั้งแต่ช่วงปิดเทอมชั้นประถม คุณแม่จะเป็นแรงบันดาลใจให้ เขาคงเห็นเราเป็นเด็กขี้โรคตั้งแต่เด็ก เรียนแล้วจะได้แข็งแรงขึ้น ส่วนเรื่องกิจกรรมความสวยความงามจ้ารู้สึกว่าเราเบื่อแล้ว ไม่อยากทำ ช่วงนี้จะชอบเล่นกีฬามาก จะออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อน เล่นวอลเล่ย์บอลกลางแดด ช่วงมัธยมจะไม่ห่วงเรื่องความสวยงามแล้ว พอเริ่มเรียนเทควันโดก็เริ่มติดเพราะมีลูกพี่ลูกน้องไปเรียนด้วย เพื่อนที่เรียนก็เยอะ รู้สึกสนุก ช่วงหลังๆแม่ไม่ต้องมาส่งแล้ว ไปเรียนเองเลยและก็เล่นอยู่ในนั้นทั้งวัน ส่วนเรื่องเรียนบัลเล่ต์ก็เลิกเรียน เพราะค่าใช้จ่ายเริ่มมากขึ้นในการสอบเลื่อนขั้นแต่ละครั้ง ก็เลยบอกแม่ว่าไม่เรียนแล้วนะ จริงๆแล้วเสียดายเหมือนกันแต่เราสู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหว ส่วนตอนที่เรียนเทควันโดจะรู้สึกว่ามีความสุขมาก จะวิ่งเล่นอยู่ในนั้นทั้งวันตั้งแต่ห้างเปิดยันห้างปิด ชอบตรงที่มันรู้สึกอิสระ วิ่งเล่นได้อย่างไม่เกรงใจใครและที่สำคัญเรารู้สึกว่าผู้หญิงกับผู้ชายเท่าเทียมกัน แถมยังมีการเตะต่อยด้วย ซึ่งตอนนั้นเราแค่ชอบแต่ยังไม่รู้ตัวเองว่าจริงๆแล้วเราอาจเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ( หัวเราะ ) ขั้นแรกของการฝึกเทควันโดคือ ความพร้อมของร่างกาย การเหยียดขา ความอ่อนตัว แต่ตรงนี้ไม่เป็นปัญหาเพราะจ้าเรียนบัลเล่ต์มาก่อน กล้ามเนื้อเราสามารถยืดหยุ่นได้ แต่จะมีปัญหาใน เรื่องของการทำท่าทาง เพราะตอนเรียนบัลเล่ต์จะเป็นลักษณะของความอ่อนช้อย แต่พอเราขึ้นสเต็ปของเทควันโด มือจ้าก็จะงอนโดยอัตโนมัติ ( หัวเราะ ) ซึ่งมันไม่ได้ ช่วงแรกก็เป็นปัญหาแต่หลังๆก็ปรับตัวได้ แต่จ้าถือว่าเป็นคนที่มีพัฒนาการช้าที่สุดเพราะเราติดท่าทางของบัลเล่ต์มาก่อน ส่วนการสอบสาย เทควันโดจะเริ่มจากสายขาว เหลือง เขียว ฟ้า น้ำตาล แดงจนถึงดำ พอเป็นสายดำเขาจะเรียกว่าดั้ง จ้าเรียนเทควันโดมาเป็นเวลา2ปี ถึงได้ติดสายดำ ตอนนั้นอายุยังไม่ถึง 15 ได้ติดสายดำดั้ง3ค่ะ ทุกสายก็จะมีท่าทางเฉพาะ เริ่มจากท่าเตะ ท่ารำ การจับคู่ การรุกการรับและสุดท้ายคือการสแปริ่ง คือการเตะต่อยแบบฟรีสไตล์ ว่าคุณมีความสามารถอะไรบ้างและปรับใช้กับการต่อสู้อย่างไรได้บ้างหรือว่าคุณจะสู้อย่างไรให้ได้คะแนนมากที่สุด ช่วงที่จ้าเรียนก็จะมีการแข่งขันด้วย ของกรมพละและชิงแชมป์แห่งประเทศไทย ส่วนรางวัลที่ภูมิใจที่สุดคือ มิสเทควันโดคนแรกของประเทศไทยใน ปี 1999 ซึ่งจะเป็นการประกวดแข่งท่ารำ ท่าเตะ แบบสวยงาม ซึ่งการประกวดครั้งนั้นทำให้จ้ารู้สึกว่าเราน่าจะถนัดสายสอนมากกว่า เพราะเราถนัดท่าทางและความสวยงาม ก็เริ่มสอนเทควันโดมาตั้งแต่อายุ 14 เริ่มสอนบุคคลทั่วไป ทุกวันก็จะมีการเตรียมการสอน วันนี้เราจะให้นักเรียนทำท่านั้นท่านี้ ให้เขาวิ่งวอร์ม ยืดเส้นยืดสาย คือต้องดูว่าคนอายุเท่านี้ เราก็จะให้เขาทำอย่างนี้ หรือถ้าอายุมากหน่อยต้องทำอย่างนี้แทน ช่วงนั้นอยู่ม.3 ก็ต้องอาศัยเวลาเลิกเรียนสอน จ้าสอนตั้งแต่อายุ 14 ปีจนถึง 17-18 ปี การที่เราได้ทำงานตั้งแต่เด็กทำให้เราฝึกความอดทนและต้องโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นค่ะ พอมาถึงช่วงมัธยมปลายจ้าเรียนโรงเรียนเดิม เลือกเรียนสายศิลป์ คำนวณ ผลการเรียนจะอยู่ระดับปานกลาง 2.6 2.7 จ้าจะชอบวิชาทั่วๆไปที่ดูไม่เป็นวิชาการมากนัก ส่วนทางด้านกีฬา จะถนัดแต่ละวิชามากกว่าเช่น ถ้าเรียนวิชาฟันดาบก็จะเป็นผู้หญิงระดับต้นๆของห้อง เพราะเรามีทักษะทางด้านท่ารำอยู่แล้ว ตอนเรียนจ้าจะเป็นนักกีฬาเทควันโดทีมโรงเรียนก็จะมีไปแข่งขันของกรมพละและคว้าเหรียญทองมาได้ประเภทเยาวชนค่ะ ส่วนสิ่งที่จ้าถนัดที่สุดในกีฬาเทควันโดจะเป็นท่ารำค่ะ เพราะเป็นคนที่แม่นเบสิคมากจะจำท่ารำได้ทุกจังหวะ ซึ่งท่าพวกนี้เราสามารถนำไปใช้ในการต่อสู้ได้จริง Q.แล้วอยู่ๆเส้นทางชีวิตของสาวเทควันโด้มาลงเอยบนเส้นทางด้านการแสดงได้อย่างไร A.คือในช่วงที่จ้าเรียนเทควันโดมีโอกาสได้รู้จักกับอาจารย์คนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนกับพี่พันนา เขาเห็น เรามีความสามารถด้านนี้ ก็เลยถามจ้าว่าสนใจจะไปแคสติ้งหนังของพี่พันนาหรือเปล่า แต่ตอนนั้นจ้ายังไม่รู้จักพี่พันนา แต่ก็อยากลอง สนใจและตอนนั้นเรียนใกล้จะจบมัธยมปีที่ 6 แล้ว ก็ไปปรึกษา คุณแม่ เขาก็บอกให้เราลองดู แต่ตอนที่จ้าไปแคสติ้งเขาให้แคสท์เรื่องแอ็คชั่นอย่างเดียวเลย ให้เตะท่านั้น ท่านี้ กระโดดท่านั้น ท่านี้ จนทางทีมงานเขามาบอกว่า จ้าได้เล่นเรื่องเกิดมาลุยนะ ตอนนั้น รู้สึกดีใจมากที่เขาเลือกเราเพราะมีคนมาแคสติ้งเยอะมาก เคยถามพี่พันนาเหมือนกันว่าทำไมเลือกจ้า ซึ่งพี่พันนาบอกว่าเพราะเขาชอบสายตาเรา มันดูใสแต่มุ่งมั่นและจริงจัง ก็เลยเรียกเราไปทำเดโมเวิร์คช็อพคิวแอ็คชั่น ถ่ายทำเดโมอยู่สองวัน คิดพล็อตเรื่อง คิดคิวบู๊ คิดกันสดๆเลย ตอนนั้นเนื้อเรื่องประมาณว่า ให้เราสมมติเหตุการณ์ว่าพี่ชายเราถูกจับตัวไป โดยแก๊งค์ แก๊งค์หนึ่งในโกดังและเราต้องเข้าไปช่วยพี่ชาย ก็จะมีบรรดาสตันท์มาขัดขวาง พี่ชายเราก็อยู่บนนั่งร้านซึ่งสูงมาก และก็จะมีคิวบู๊ เตะต่อยกับสตันท์เราก็ต้องต่อสู้ ส่วนแอ็คติ้งก็ต้องขรึมๆ ตอนนั้นจ้าเป็นแต่เทควันโด มวยไทยกับยิมนาสติคยังไม่ได้ พี่ปรัชพี่พันนาก็นำตัวเวิร์คช็อพดังกล่าวไปเสนอกับเสี่ยเจียง และปรากฏว่าเขาอยากให้เก็บตัวเราเพื่อเล่นภาพยนตร์เรื่อง Chocolate ซึ่งจ้ามาทราบทีหลัง จำได้ว่าวันแรกที่ไปกองถ่าย พี่ๆทีมงานเขาทำหน้าสลดกันและบอกว่าเราไม่ได้เล่นหนังเรื่องเกิดมาลุยแล้วนะ เราก็อ้าว ทำไมล่ะ ตอนนั้นงง ไม่เข้าใจ ปรากฏว่าโดนพี่ๆ อำ เขาบอกว่าจ้าจะได้เล่นหนังเรื่องอื่นแทน ตอนนั้นความรู้สึกคือเสียใจมากแต่ก็ดีใจมากเหมือนกันเพราะไม่คิดว่าเราจะมีค่าถึงขนาดที่เขาตั้งใจทำหนังให้เราทั้งเรื่องซึ่งถือว่าเป็นตัวสำคัญมาก Q.แต่ทราบมาว่ากว่าจะได้เริ่มต้นถ่ายทำ จีจ้าเองต้องผ่านขั้นตอนการเก็บตัวฝึกซ้อมเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการถ่ายทำนานพอสมควรเลย A.ค่ะพี่พันนาและพี่ปรัชต้องการให้จ้ามีความสมบูรณ์และพร้อมมากกว่านี้ ก็เลยส่งจ้าเข้าคอร์สการฝึกซ้อมที่มากกว่ากีฬาเทควันโด หนึ่งคือมวยไทย ซึ่งตัวจ้าไม่มีพื้นฐานเลย เป็นมวยไทยโบราณ โดยมีครูมาสอนให้ สองคือเพิ่มทางด้านยิมนาสติค เพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกาย เพิ่มความคล่องตัว เริ่มจากมวยไทยประมาณสามเดือนแรก ต้องซ้อมมวยอย่างเดียวเลย ตารางการซ้อมก็ตื่นเช้ามาทานข้าวและก็ซ้อม โดยเริ่มจากวอร์มร่างกายก่อน เพิ่มกล้ามเนื้อโดยการกระโดดเชือก วิดพื้น ซิทอัพ ทุกอย่างจะเป็นเซทและเริ่มจากการไหว้ครู 4 ทิศ การย่างขุม ฐานของมวย เริ่มการชก การสลับการ์ด การเตะ รวมไปถึงท่ารำยากๆ แต่ละท่า จะมีท่าหมัด เท้า เข่า ศอก ซึ่งตรงนี้ครูเขาจะเซทมาให้จ้า เราก็ต้องทำให้ได้ตามที่เขากำหนด อย่างกระโดดเชือกก็ห้ามเหยาะแหยะ ต้องทะมัดทะแมง แต่จ้าอยากเรียนมวยไทยอยู่แล้ว ตอนซ้อมจึงรู้สึกมีความสุขมาก บางวันไม่เป็นอันทำอะไร รอเวลาที่จะมาซ้อมมวยอย่างเดียว คือหลงเสน่ห์ของมวยไทยไปเลย จ้าว่ามันมีความสวยงามและแข็งแกร่งในตัวมันเอง

มันได้ใช้ท่าทาง ศอก เท้า เข่า หมัด ใช้ทุกส่วนของร่างกาย สิ่งนี้ทำให้จ้ารักมวยไทยมาก แต่หลังจากเรียนมวยแล้วก็จะเริ่มเรียนพื้นฐานของยิมนาสติค ตอนนั้นแบ่งเวลาซ้อมคือเช้าซ้อมมวย บ่ายถึงเย็น ซ้อมยิมนาสติค ช่วงนั้นซ้อมทุกวันได้หยุดแค่วันอาทิตย์ เวลาซ้อมก็ตั้งแต่ทุ่มถึงสองทุ่มแล้วแต่สภาพร่างกาย แต่ตอนนั้นทั้งเหนื่อย ทั้งสนุก มันใหม่สำหรับจ้าด้วย แต่เรื่องเหนื่อย จ้าไม่กลัวอยู่แล้วเพราะเราเล่นเทควันโดมาตั้งแต่อายุ 11-12 ส่วนการซ้อมยิมนาสติคก็จะเริ่มจากท่าสะพานโค้ง ม้วนหน้าม้วนหลัง สปริงมือ Frontwalk Backwalk เริ่มท่าลอยตัว หมุนตัว บิดเกลียว โดยมีท่าที่คิด ว่ายากที่สุดก็คือท่าบิดเกลียวค่ะ ซ้อมทุกวันเลยเพราะอยากทำได้ คือจ้ารู้สึกว่ามันสวยมาก จ้าเห็นพี่จาเล่นในองค์บาก เห็นพี่เดี่ยว ชูพงษ์ ซ้อมทุกวัน เราก็หมั่นฝึกซ้อมแต่มันยังไม่ได้ซักที แต่มีอยู่วันหนึ่งจู่ๆ มันก็มาเอง คือตอนที่เราเรียนเราซ้อมเราปรับจังหวะของมันได้เอง แต่ทั้งมวยและยิมนาสติคเป็นสิ่งที่จ้าไม่มีพื้นฐานเลย ต้องมาเริ่มใหม่หมด แม้แต่แรงข้อเท้าในการสปริงหรือกระโดดเราก็ต้องซ้อม อย่างท่าบิดเกลียวของจ้าอาจจะไม่ได้สมบูรณ์เหมือนอย่างพี่จาหรือพี่เดี่ยว แต่เราก็พอใจที่เราสามารถทำได้ เพราะมันยากมากและซ้อมนานอยู่หลายเดือน ส่วนท่าที่ชอบมากที่สุดคือท่าอาราเบียน จะคล้ายๆกับตีลังกาล้อเกวียน แต่จะไม่ใช้มือ ลอยขึ้นไปกลางอากาศ ขาคู่ เวลาที่ทำท่านี้จะรู้สึกสบายใจ เหมือนกับเราได้ปลดปล่อย ส่วนท่าที่กลัวที่สุดจะเป็นท่าซิกแซกและลังกาหลัง จ้าจะไม่ชอบท่าที่มันต้องไปข้างหลัง เพราะมันจะเสียวต้นคอ คือมีอยู่ครั้งหนึ่งตอนซ้อม จ้าไม่ได้เอามือลงแต่เอาคอลง 3 ครั้งติดกันทำเอาคอเคล็ดไปเลยค่ะ

Q.รวมเวลาในการเรียน การฝึกซ้อมทั้งหมดเท่าไหร่ A.รวมทั้งหมดก็ 4 ปี 2ปีก่อนเปิดกล้องและอีก2ปีที่ต้องซ้อมควบคู่กันไปตลอดในระหว่างที่ถ่าย ทุกอย่างเรียนควบคู่กันไปหมด ตารางเรียนก็จะตื่นเช้ามาฝึกซ้อมตลอดเช้าถึงเย็น Q.ทำไมถึงใช้เวลานานขนาดนั้น A.คือต้องบอกว่า สิ่งที่เรากำลังทำกันอยู่เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก ทั้งการเป็นหนังแอ็คชั่นเรื่องแรกในชีวิตของจ้าเอง และเป็นหนังแอ็คชั่นระดับโลกเรื่องที่3ของพี่ปรัช เพราะฉะนั้นความพร้อม ความสมบูรณ์คือสิ่งสำคัญที่สุด อย่างการฝึกซ้อมมวยในที่นี้ก็ไม่ได้ฝึกซ้อมธรรมดานะค่ะ ซ้อมเท่าพี่ๆนักมวยหรือพี่ๆสตั๊นท์ เท่าเลเวลเดียวกับที่ผู้ชายเขาฝึกซ้อมกัน อย่างเช่นวันนี้ต้องโดดเชือกเท่านี้นะ วิดพื้นเท่านี้นะ ต้องวิ่งให้ได้เท่านี้นะ ก็คือต้องทำให้ได้ทุกอย่าง เช้าซ้อมมวยเสร็จตกบ่ายต้องไปซ้อมยิมนาสติก เริ่มตั้งแต่พื้นฐานเลย ไม่เป็นอะไรเลย ต้องเริ่มตั้งแต่ม้วนหน้าม้วนหลัง จนกระทั่ง ทำทุกอย่าง ขั้นต่ำจนถึงขั้นสูง ทุกอย่างตามสเต็ป พอเริ่มได้ มันไม่ใช่แค่ผ่านง่ายๆนะ อย่างซ้อมมวยรู้ได้ไงว่าเมื่อไหร่จ้าจะได้ จ้าจะผ่าน ทุกครั้งทุกอาทิตย์จ้าต้องทำให้ได้ เท่าลิมิตที่พี่พันนากำหนดมา แล้วต้องมีการสอบให้ผ่าน เพื่อที่จะจ้าจะได้เล่นขั้นต่อไป มีการทดสอบทุกๆ 3เดือน พอหลังจากนั้นเริ่มมีการเตรียมพร้อมขึ้นเรื่อยๆๆ จนพี่พันนาให้ผ่าน เราถึงจะเริ่มดีไซน์คิวบู๊คิวแอ็คชั่นกัน

ซึ่ง คราวนี้ไม่ใช่แค่มวยหรือว่ายิมนาสติกแล้ว เพราะการฝึกเข้าคิวแอ็คชั่นต้องเรียนรู้ถึงรายละเอียดปลีกย่อยว่าการเข้าคู่กับพี่สตั๊นท์แมนจะเป็นอย่างไร มีวิธีรับแอ็คชั่นอย่างไร หรือถ้าโดนเตะจริงจะต้องเกร็งหน้าท้องอย่างไร เซฟตัวเองอย่างไรให้เจ็บน้อยที่สุด หรือว่าเตะเขาอย่างไรให้เขาเจ็บน้อยที่สุด เซฟเขาเซฟเรา รักษาเขารักษาเรา ไม่ใช่ว่าสักแต่เตะไปปุ๊บ เขาเจ็บ หรือว่าเขาเตะ เราเจ็บ พอหลังจากที่เราเข้าคู่กันได้แล้ว เริ่มขั้นตอนสเต็ปต่อไปคือเข้าเวิร์คช็อพของตัวหนังตามบทซึ่งในที่นี้เราต้องรู้แล้วว่าในบทมีอะไรมาบ้าง มีคิวนี้ๆๆนะ พี่ๆก็จะดีไซน์กัน จีจ้าก็จะเล่นตามที่เขาดีไซน์ไว้ อย่าง ในหนังเรื่องช็อคโกแลตจีจ้ารับบทเป็นเซน เด็กที่เป็นออทิสติกที่จดจำท่าทางการต่อสู้จากฮีโร่ต่างๆอย่างบรู๊ซ ลี ,เฉินหลง,พี่จา พนมอันนี้พอเริ่มเวิร์คชอพปุ๊บก็จะมีคิวแอ็คชั่นของซีนต่างๆเป็นหลัก โดยดึงแอ็คติ้งของคาแรคเตอร์เราซึ่งเป็นเด็กออทิสติกมาผสมผสานด้วยก็จะเป็นออทิสติกและแอ็คชั่นตามคาแรคเตอร์ของฮีโร่แต่ละคน อย่างเช่นฉากของเฉินหลง เราก็จะเห็นท่าทางของเฉินหลงในตัวเซน ซึ่งก็จะไม่ได้มีแค่แอ็คชั่นอย่างเดียว เพราะมันจะต้องมีการใช้ยิมนาสติกเข้ามาช่วยด้วย ถ้าสมมติเป็นคิวของเฉินหลงก็จะมีการวิ่งข้ามอุปกรณ์ที่กีดขวาง มีการขึ้นตู้ มีกระโดดข้ามตู้ฉีกขา นั่งตู้เสร็จ ฉีกขาปุ๊บ ถีบผู้ร้ายปั๊บ ถีบผู้ร้ายเสร็จต้องกระโดดข้ามตู้อีกตู้หนึ่ง เพื่อจะม้วนหน้าลงจากตู้ที่ล้ม ทุกอย่างมันคือใช้การผสมผสาน จากที่จ้าหัดมาเป็นอย่างๆ หัดแอ็คติ้ง หัดแอ็คชั่น ที่หัดมวย หัดยิมนาสติกเริ่มเอาทุกอย่างมารวมกัน จนมันออกมาเป็นรูปเป็นร่าง จนเป็นคนๆเดียวที่มีคาแรกเตอร์ 1 เดียวเลย แต่นอกจากแอ็คชั่นแล้ว สิ่งที่กลายเป็นโจทย์ที่จ้าต้องทำการบ้านเพื่อใช้ในภาพยนตร์เรื่องช็อคโกแลตอีกหนึ่งอย่างก็คือในส่วนของแอ็คติ้ง คือพอจ้าทราบว่าคาแรกเตอร์ของจ้าในเรื่องต้องเป็นเด็กออทิสติกที่มีความสามารถทางด้านการต่อสู้ ตอนที่นบทครั้งแรกก็คิดว่าเราจะทำได้หรือเปล่า จ้าก็จะต้องมีการทำการบ้านครั้งใหญ่และใหญ่มากๆด้วยในชีวิตเลย คือการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเด็กออทิสติกซึ่งพี่ทีมงานจะให้หนังสือประมาณ 4 5 เล่มมาอ่าน

ซึ่งเป็นวีรกรรมของเด็กออทิสติกน่ารักๆ แล้วก็จะรีเสิร์ชจากอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับพวกลักษณะอาการ รวมไปถึงcase study ที่เขาไปขอจากโรงพยาบาลของเด็กพิเศษ เป็นเล่มใหญ่ ๆหนาๆ หลายๆเคสเลย จากหลายๆคนมาให้อ่านกัน นอกจากนั้นก็มีดูหนังเรื่อง RAINMAN,AWAKENINGFORREST GUMP ศึกษาด้วยตัวเองก่อน ก่อนที่จะเริ่มเรียนแอ็คติ้ง ประมาณ 4 6 เดือน นานมาก จนเริ่มรู้สึกเครียดกดดันมาก และพอได้เข้า CLASS ACTING ซึ่งสอนโดยครูโอ๋ทิพย์วลัย บุญประคองซึ่งเคยเป็นแอ็คติ้งโค้ชให้กับภาพยนตร์เรื่องรับน้องสยองขวัญ,ACADEMY FANTASIAเขาก็จะพยายามให้เราเข้าใจคาแรกเตอร์ให้มากที่สุด การเรียนแอ็คติ้งช่วยให้เราเข้าใจบทบาท เรื่องราวมากขึ้นค่ะ แต่เรื่องนี้ถือว่าเขาเขียน บทจากตัวจ้าเอง เลยคิดว่าเราน่าจะทำได้ ช่วงที่เรียนการแสดง ครูโอ๋จะสอนเกี่ยวกับบุคลิกภาพแม้กระทั่งเสียงก็ต้องปรับ เพราะจ้าจะเป็นคนที่พูดแล้วเสียงจะขึ้นจมูก ซึ่งมันจะดูเหมือนว่าเป็นคนขี้เกียจพูด ครูโอ๋ก็บอกว่าพูดแบบนี้ไม่ได้เสียงจะขึ้นจมูก แต่เราต้องพูดไม่ชัดและโทนเสียงต่ำซึ่งยากมาก และเรียนการเคลื่อนไหวของร่างกาย การหายใจ การมอง การยิ้ม เรียกว่าเราต้องพิจารณาตนเองและต้องปรับบุคลิกภาพเกือบทุกอย่างค่ะ เขาก็จะให้ลองทำดูจากที่ศึกษามาทั้งหมดเลย 4 6 เดือน ออทิสติกในความคิดของเราถ้าถ่ายทอดออกมาจะเป็นอย่างไร ก่อนที่จะไปเจอน้องๆเพื่อนๆที่เขาเป็นเด็กพิเศษจริงๆที่โรงเรียน ให้เราลองทำ ซึ่งกดดันมากเลย เพราะก่อนหน้าที่จะมาเล่นหนังเรื่องช็อคโกแลต จ้าเพิ่งเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่อง ออทิสติกนี่เอง พอได้ไปสถานที่จริงๆ ได้เจอน้องๆ เพื่อนๆที่โรงเรียนเด็กออทิสติก ทุกคนน่ารัก แล้วก็รู้สึกว่าเด็กแต่ละคนจะมีอาการไม่ซ้ำกันเลยอย่างสมมติมี 30 คน 30 อาการ 50 คน 50 อาการ จ้าก็เริ่มคิดและศึกษาว่าถ้าอยากได้อาการของคนนี้จะทำยังไง หรืออีกคนก็มีอาการที่อยากได้ เพราะฉะนั้นต้องจับสังเกตุ อยากได้การมองของคนนี้ จ้าต้องมาคนนี้ อยากได้การพูดของอีกคน อยากได้ท่าทางการเดินของอีกคน ตบมืออีกคน คือต้องสังเกตเป็นคนๆไปเลย

ขั้นแรกไปสังเกตอาการว่าอยากได้อาการไหนของคนไหน ขั้นต่อมาให้ใช้ชีวิตเป็นแบบนั้น ทั้งการพูด การเดิน การมอง การกระทำ ต้องทำให้เหมือนเขาทุกอย่าง คือเป็นการใช้ชีวิตแล้วก็เหมือนกับเลียนแบบไปก่อน ซึ่งยอมรับว่าจ้าเครียดมากๆ กดดันตัวเองมากๆ แรกๆตอนมาเล่นหนังจะรู้สึกเครียดกลัวทำไม่ได้ แต่หลังๆรู้สึกว่าอยู่ตัวปล่อยไปเรื่อยๆเป็นธรรมชาติของตัวเราดีกว่า สุดท้าย เพื่อถ่ายทอดคาแรคเตอร์ของตัวเซนออกมา จ้าเลือกดึงเอาคาแรกเตอร์ของเด็กที่ได้ไปสังเกตมา ประมาณ 3 - 4 คน ก็จะเป็นเรื่องของการมอง การพูด น้ำเสียง การเดินแล้วก็การทำร้ายตัวเอง จนกระทั่งถึงการโวยวาย การเอาแต่ใจตัวเองเหมือนเด็กๆ ก็คือเราเลือกถอดออกมาในส่วนที่เราจะใช้ In put ใส่ลงไปในคาแรคเตอร์เพื่อถ่ายทอดทางด้านการแสดงออกมาตั้งแต่ต้นเรื่องยันจบเรื่อง Q.ฟังๆดูแล้วหนักเหมือนกันสำหรับหนังเรื่องแรก อย่างนี้เคยมีช่วงเวลาท้อแท้บ้างหรือเปล่า A.มีค่ะ ท้อว่าทำไมเราทำไม่ได้ซักที ร้องไห้ก็เคยค่ะ คือจ้าจะเป็นคนชอบเอาชนะตัวเอง พอเราทำไม่ได้ก็จะพาลโกรธตัวเอง เราก็คิดว่าเอ๊ะ เราก็ซ้อมทุกวัน มันผิดพลาดตรงไหนเราถึงทำไม่ได้ แต่พี่ๆที่เขาฝึกซ้อมให้จ้า เขาจะคอยบอกว่าของอย่างนี้ไม่ต้องไปเร่งรัดมัน เหมือนกับที่จ้าบอกว่าอยู่ดีๆก็ทำท่าบิดเกลียวได้ขึ้นมา คือเราต้องสบายๆไม่ต้องไปเร่งรัดมัน

Q.ถ้างั้นต้องเล่าให้ฟังแล้วละว่าในภาพยนตร์เรื่อง chocolate บทบาทที่เราต้องแสดงมีคาแรคเตอร์เป็นอย่างไร A.ในเรื่องจ้ารับบทเป็นเซนค่ะ เป็นเด็กออทิสติคที่มีความสามารถทางด้านการจำและการต่อสู้ เซน จะค่อนข้างมีโลกส่วนตัวสูงเป็นคนที่รักแม่มาก ใครมาทำร้ายแม่ไม่ได้ ในชีวิตเขาจะมีอยู่ไม่กี่อย่าง ที่เขารักซึ่งก็คือแม่และเพื่อนสนิทที่ชื่อแมงมุม เป็นคนที่ชอบการต่อสู้ ชอบอะไรที่ค่อนข้างแรงๆ อย่างเพลงก็จะเป็นจังหวะเร้าใจ ส่วนขนมหวานที่ชอบก็จะเป็นช็อคโกแลตเพียงอย่างเดียว ในภาพยนตร์คนดูจะได้รู้ว่าช็อคโกแลตเกี่วข้องและมีความสำคัญอย่างไรกับตัวเซน โดยมีคุณฮิโรชิ อาเบะรับบทเป็นยากูซ่าจากญี่ปุ่นเป็นพ่อของเซนในเรื่องมีพี่ส้มอมราเป็นคุณแม่ซึ่งเป็นอดีตคนรักของพี่ อ๊อฟซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊งค์มาเฟียไทย แต่มีเหตุบางอย่างทำให้ทั้งพี่ส้มและอาเบะไม่สามารถอยุ่ด้วยกัน ทำให้เซนเลยต้องโตขึ้นมาโดยมีแม่ซินเลี้ยงดูเพียงลำพัง และขณะเดียวกันก็ต้องใช้ชีวิตโดยหลบหนีจากการตามล่าของแก๊งค์พี่อ๊อฟ โดยนำเอาความสามารถและทักษะในการจดจำทางการต่อสู้มาใช้เพื่อดูแลแม่และเอาตัวรอด Q.ในสายตาของจ้าแล้ว ความพิเศษของหนังเรื่องช็อคโกลแลตอยู่ที่ตรงไหน อย่างไร A.ด้วยความพิเศษนะค่ะ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นหนังแอ็คชั่นเรื่องที่ 3 ของพี่ปรัชกับพี่พันนาก็จริงแต่นี่คือหนังแอ็คชั่นเรื่องแรกของจีจ้า และด้วยความที่จ้าเป็นผู้หญิง ถ้าบอกว่านี่คือหนังแอ็คชั่นผู้หญิงก็คงไม่รู้สึกแปลกเท่าไหร่แต่สำหรับช็อคโกแลตเราตั้งใจทำให้เป็นหนังREAL ACTION ที่ใช้ผู้หญิงเล่นจริง ตัวจ้าแสดงจริงๆด้วยตัวเอง มีการเก็บตัวฝึกซ้อมหนักเหมือนผู้ชาย แล้วก็สิ่งที่พิเศษสุดๆเลยของเรื่องนี้คือในเรื่องของตัวบทซึ่งแตกต่างจากหนัง แอ็คชั่นเรื่องอื่นๆตรงที่ตัวละครที่จ้าเล่นจะต้องเป็นเด็กออทิสติกที่มีความสามารถพิเศษในการต่อสู้หรือเล่นแอ็คชั่น นั่นคือจ้าต้องเล่นแอ็คชั่นแต่ต้องมีอาการของออทิสติกไปด้วย ขณะเดียวกันก็ต้องสวมคาแรคเตอร์นักสู้หลายๆคนลองนึกภาพจ้าที่ต้องสวมคาแรคเตอร์ แอ็คชั่นฮีโร่ในดวงใจของใครหลายๆคนไม่ว่าจะเป็นบรู๊ซ ลี เฉินหลง หรือพี่จาพนม ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ต้องผ่านการทการบ้านกันอย่างหนักมาก อย่างฉากแอ็คชั่นในแต่ละฉากนะคะ เราอาจจะเห็นออกมาในหนังแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น แต่กว่าจะออกมาอย่างที่เห็นได้ พี่พันนาจะต้องออกแบบดีไซน์คิวบู๊ที่ต้องสร้างความแปลกตาขึ้นมาก่อน จ้าและทีมสตั้นท์จะต้องฝึกซ้อม ทำเวิร์คช็อพเฉพาะของซีนนั้นๆซึ่งอาจจะต้องใช้เวลา3-6 เดือนด้วยกันจนกว่าจะคล่อง แล้วต้องมาฝึกซ้อมจริงที่สถานที่ถ่ายทำอีกอาจจะประมาณ1-2อาทิตย์ จนทุกอย่างลงตัวถึงเริ่มต้นถ่ายทำ

โดยระยะเวลาทั้งหมดทั้งการฝึกซ้อมเวิร์คช็อพ ไปจนถึงการถ่ายทำขึ้นอยู่กับความยากง่ายของฉากนั้นๆ ซึ่งทั้งหมดเมื่อถ่ายทำออกมาแล้วอาจจะไปปรากฎอยู่ในจอภาพยนตร์เพียงแค่ไม่กี่นาที พูดได้ว่าเป็นการนำเอาทักษะความสามารถทั้งหมดที่ติดตัวมาตั้งแต่พื้นฐานทางด้านเทควันโด้ และทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านการฝึกซ้อมมาตลอด4ปีอย่างทักษะมวยไทยซึ่งก็จะแตกต่างออกไปไม่เหมือนกับที่พี่เดี่ยว(ชูพงษ์ ช่างปรุง)หรือว่าพี่จา(พนม ยีรัมย์)เล่นนะค่ะ ของจ้าก็จะมีความอ่อนช้อยและความเป็นตัวจ้าผสมผสานลงไปในมวยอันนั้นด้วย และก็จะมีการใช้อาวุธอย่างพวกดาบซามูไร ดาบพลอง และก็มีการใช้ยิมนาสติก เพราะจุดเด่นของแอ็คชั่นผู้หญิงที่แตกต่างจากผู้ชายคือความไว ความคล่องตัวและความอ่อนช้อย สำหรับจ้าแล้วนี่เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตที่ยิ่งใหญ่และพิเศษมากๆ เชื่อว่าหนังเรื่องแรกของแต่ละคนอาจจะเจอหลายๆสิ่งไม่เหมือนกัน ช็อคโกแลตทำให้จ้าได้ร่วมงานกับพี่ๆหลายๆคนที่ทุกคนล้วนเป็นคนทำงานระดับแถวหน้าของแขนงต่างๆมารวมกันตั้งแต่พี่พันนา พี่ปรัช เสี่ยเจียงที่เชื่อมั่นและให้โอกาสกับจ้า รวมไปถึงพี่ๆนักแสดงแต่ละคนนะค่ะ อย่างเช่น เอาคนแรกก่อนเลย พี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ เป็นนักแสดงที่จ้าชื่นชอบ ปลื้มในผลงานฝีมือทางการแสดงมานานแล้วค่ะ แล้วพอได้มาเจอกันตัวจริงรู้สึกดีใจแบบว่านี่ พี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์นะ แกใหญ่มากๆ ทุกครั้งที่เข้าฉากกับพี่อ๊อฟซึ่งพี่อ๊อฟเล่นเป็นมาเฟียพูดได้คำเดียวเลยคือคนนี้ใช่เลย ใช่มากๆด้วย อย่างฉากที่ต้องจ้องตากันยอมรับเลยว่ารู้สึกกลัวพี่อ๊อฟจริงๆ เพราะว่าแกเล่นได้แบบจ้ารู้สึกขนลุกเลย แต่ตัวจริงแกเป็นคนน่ารักมากค่ะ มากองถ่ายจะมีเรื่องฮาๆมาพูดกันตลอด แล้วก็จะมี อาเบะซัง นะค่ะ เป็นนักแสดงที่ ยอมรับว่า มีความเป็นมืออาชีพสูงมาก เป็นคนที่ตรงเวลามากๆ และทำการบ้านมาเยอะมากๆ มีอยู่ฉากหนึ่งซึ่งเป็นฉากสำคัญที่จ้าจะต้องเข้าฉากกับอาเบะ เป็นฉากอารมณ์ที่พีคที่สุดแล้ว และทั้งจ้าและอาเบะจะต้องเผชิญกับความรู้สึกสูญเสียเหมือนกัน ในเรื่องจ้ากับอาเบะเป็นพ่อลูกที่ไม่เคยเจอกันเลยตลอด 17 ปี เป็นฉากที่อาเบะจะต้องปลอบเรา ซึ่งจ้าสัมผัสได้เลยถึงอารมณ์ความสูญเสียของผู้ชายคนนี้

แต่ขณะเดียวกันเขาทำให้เรารู้สึกได้เหมือนกับคนที่เป็นพ่อของเรา คนที่แคร์เราและกำลังปลอบลูกของเขาจริงๆก็คือเรา ในขณะที่จ้าเองต้องนั่งร้องไห้ โดยในความเป็นเด็กออทิสติกที่ยังไม่รู้ว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นตรงหน้าคืออะไร ไม่รู้ว่าความตายคืออะไร รู้แต่เพียงว่าทำไมคนที่เรารักที่นอนอยู่ตรงหน้า ปลุกเท่าไหร่ก็ปลุกไม่ตื่น แล้วอาเบะเข้ามากอดเรา แบบกำลังปลอบเราจริงๆจ้าแบบปล่อยโฮเลย ร้องไห้ดังมากๆ สะอื้นสะอึกสะอื้น คือขนลุกเลย จ้ารู้สึกเป็นเกียรติมาก เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่โนเนมมากๆเลย เล่นหนังเรื่องแรก ได้เล่นกับอาเบะ ซังและพี่อ๊อฟต้องขอบคุณมากๆ แล้วก็มีพี่ส้มอมรา ผู้หญิงแกร่ง เวลาผู้หญิงมองผู้หญิงด้วยกันจ้ารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้สวยมาก แต่ห้าวมาก และพี่ส้มเป็นคนที่เล่นบทลุยได้ถึงใจมากๆ ลุยเป็นลุย สวยเป็นสวย โทรมเป็นโทรม พี่ส้มเป็นคนที่ยอมรับได้ทุกสถานภาพในฐานะนักแสดงทำได้ทุกอย่างไม่ห่วงสวย แล้วในบทของความเป็นแม่ที่รักและห่วงลูก ทั้งแกร่งและเก่งต้องเลี้ยงลูกตัวคนเดียวใน คราวเดียวกัน แต่ก็มีความอ่อนโยนอยู่ในตัว โดยเฉพาะถ้าดูในหนังจะมีหลายๆฉากที่พี่ส้มแสดงให้รู้ว่าหวงและห่วงลูกสาวคนนี้ชนิดที่ว่าไม่ปล่อยให้ใครมาทำอันตรายลูกสาวคนนี้เป็นอันขาด ทั้งน้ำเสียงสีหน้า แววตาท่าทาง ความรู้สึกมันบรรยายไม่ถูกเลย ในฉากจ้าต้องหันหลังให้พี่ส้มยังรู้สึกได้ถึงความรู้สึกห่วงของคนเป็นแม่จากพี่ส้ม และมีอีกหลายคนมากอย่างพี่เดย์ (เดย์ ฟรีแมน)ซึ่งเล่นเป็นมือขวาของพี่อ๊อฟ พี่เดย์น่ารักมาก ตัวจริงแกออกหวานๆ ผิดกับในเรื่องที่เป็นตัวร้ายที่ดุมาก เข้าฉากด้วยกัน แกก็เอาเลยลูก เตะได้เลย ทำได้ทุกอย่าง เต็มที่เลย แล้วก็มี 3แชมป์มวยไทยซึ่งเป็นชาวต่างชาติ2คนนั่นคือ ซูเมีย ชาวฮอลแลนด์และซูจง ชาวเกาหลี และคนไทยคือพี่โอ๋ศิริมงคล

สำหรับซูเมียเป็นนักมวยที่ปราดเปรียวมาก หมัดและเท้าหนัก คือถ้าพลาดไปอย่าหวังว่าจะรอดกันง่ายๆ(หัวเราะ) แต่จะมีอยู่ฉากหนึ่งที่เรากำลังช็อกกับเหตุการณ์บางอย่างอยู่ เขาก็เข้ามาทำร้ายเราแต่เขาจะยั้งมือ ผิดกับซูจงชาวเกาหลี ซึ่งเขาเตะเราจริงเหมือนกับเขายั้งไม่เป็น จนซูเมียต้องบอกว่าพอแล้วเดี๋ยวจ้าก็ตายจริงหรอก (หัวเราะ) คือเขาเตะเราจริงๆแต่ซูเมียจะทำท่าเตะได้แต่ซูจงเขาไม่สามารถทำได้ แต่แอ็คติ้งเราตอนนั้นคือไม่รับรู้อะไรแล้ว ต้องทำท่าช็อคอย่างเดียวแต่จริงๆแล้วเจ็บมากแต่แสดงออกไม่ได้ ก็เตะจนจุกอยู่เหมือนกันแต่จริงๆก่อนหน้านั้นเราก็ต้องมีการซ้อมให้เข้าคู่กันก่อน ความสามารถของซูเมียคือเขามีดีกรีเป็นแชมป์โลก มีความไวมากและแข็งแรงพอๆกับผู้ชาย ส่วนนิสัยซูจงจะเป็นคนน่ารักมาก ร่าเริง ยิ้มแย้มตลอดเวลา ส่วนซูเมียถ้าเขาไม่สนิทก็จะนิ่งๆแต่เป็นคนร้องเพลงเพราะมาก ส่วนพี่โอ๋ ศิริมงคล ต้องรับมือรับเท้าพี่โอ๋ จะมีฉากที่จ้าต้องถูกพี่โอ๋เตะจนตัวเราทะลุประตูออกมาเลย ขนาดว่าเขาเตะไม่เต็มแรงนะค่ะ คือด้วยความที่เขาเป็นนักมวย เท้าและหมัดก็จะหนักอยู่แล้ว แต่ฉากนี้จ้าภูมิใจมากเลยเพราะเทคเดียวอยู่เลย คือจ้าถูกซูเมียและซูจงไล่ต้อนมา พอมาเจอพี่โอ๋ เขาก็เตะเราเข้าที่ท้อง หงายหลังจนทะลุออกไปเลย แต่พี่เขายืนยันว่าไม่ได้เตะแรงเลยนะค่ะ แต่ตัวจ้านี่พับเลย ขาลอยออกนอกห้องไปเลย ตอนนั้นทุกคนในกองเงียบกริบไปหมดเลย วิ่งมาดูที่เรากันหมดแต่เราก็ยังโอเค ยังไหวอยู่ แต่ความรู้สึกจริงๆก็สะใจ รู้สึกมันส์อยู่ลึกๆ เพราะเราจะเคยเห็นแต่พี่สตันท์เขาโดนเตะกัน พอมาเจอกับตัวถึงได้รู้ว่ามันเป็นแบบนี้นี่เอง (หัวเราะ) ตอนนั้นเทคเดียวผ่าน แต่เราจะมีการเตรียมตัวคือฟิตกล้ามหน้าท้อง โดยการซิทอัพและเอาเป้าล่อของเทควันโดตีเพื่อเป็นการกระตุ้นกล้ามเนื้อ ซึ่งตอนที่เล่นแอ็คชั่นกับพี่โอ๋จะสนุกที่สุด เขารับบทเป็น Boxer ซึ่งมีฝีมือที่สุดในเรื่อง เราจึงต้องใช้ทั้งหมัด เท้า เข่า ศอก ทุกอย่างเพื่อที่จะล้มเขาให้ได้ ซึ่งช่วงซ้อมบางช่วงเขาก็ลงมาซ้อมให้จ้าด้วยตัวเองเลย

Q.เป็นผู้หญิงและเล่นแอ็คชั่นด้วย อย่างนี้มีเจ็บเนื้อเจ็บตัวระหว่างการถ่ายทำบ้างไหม A.มีค่ะ เป็นฉากที่เราจะต้องหนีผู้ร้ายเพื่อขึ้นไปยังระเบียงตึก คล้ายๆกับดาดฟ้าแต่จริงๆพื้นที่มันนิดเดียว เป็นการต่อสู้ที่ใช้มวยไทยที่เรียกว่ามวยฐานเตี้ย ต้องเล่นท่าเสือลากหางคือนั่งคุกเข่าย่อต่ำ ลากขาขวาซึ่งเป็นฐานไปข้างหลังต่อสู้กันโดยต้องลอดเข้าไปใต้ตระแกรงที่สำหรับวางท่อส่งแอร์ คือเราต้องต่อสู้วนเหมือนจะหลบหลีกด้วย และก็พยายามหาข้อได้เปรียบของตัวเราและข้อเสียเปรียบ ของตัวเขา และก็หลบเข้าไปสู้กันข้างใต้ และฉากนั้นเองก็ทำให้จ้าเกิดการบาดเจ็บอย่างหนัก ต้องหยุดกองเป็นอาทิตย์ คือจ้าโดนเตะเข้าที่ตา โดนเตะขึ้นหน้าทำให้ตาปิดไปทันทีค่ะ เป็นผลให้คืน

อัลบั้มภาพ 16 ภาพ

อัลบั้มภาพ 16 ภาพ ของ บทสัมภาษณ์ จีจ้า ญาณิน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook