แต่ปางก่อน

แต่ปางก่อน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ตอนที่ 4 เมื่อฟื้นจากสลบ ราชาวดีก็พบว่าตัวเองได้เข้ามาอยู่ยุคปี พ.ศ.2453 และได้เห็นเรื่องราวช่วงหนึ่งของเจ้านางน้อยกับเสด็จในกรมฯ ที่มีความเมตตาปราณี และหม่อมพเยียซึ่งมีแต่ความเครียดแค้น ชิงชัง รวมไปจนถึงข้ารับใช้ที่จงรักภักดีต่อเจ้านางน้อยอย่างคำหอม และเด็กจุกที่เจ้านางน้อยรักและเอ็นดู ราชาวดีสลบไปอีกครั้ง และฟื้นกลับมาที่กลางตำหนักริมน้ำในเวลาปัจจุบันอันเป็นเวลาเช้ามืดวันใหม่แล้ว เมื่อเธอเห็นรังสิธร ราชาวดีก็วิ่งมาหาชายหนุ่ม... คุณ!!..คุณจริงๆด้วย.. นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ..ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นเจ้านางน้อยไปได้..แปลกจริงๆ เธอคงฝันไปกระมัง เขายิ้มน้อยๆ ราชาวดียกมือลูบหน้าตา..ลูบผม แล้วก้มลงมามองเสื้อผ้าที่ตัวเองใส่อยู่ ไม่ได้ฝันแน่ๆค่ะ..ดูเสื้อผ้าที่ดิฉันใส่อยู่ซิคะ..ของเจ้านางน้อยทั้งนั้น..นี่มันเกิด อะไรขึ้นคะ ก็เธออยากเห็นเจ้านางน้อยไม่ใช่หรือ ค่ะ..แต่..ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้..เธอน่าสงสารนะคะ..แล้ว..เรื่องเป็นอย่างไรต่อไปคะ..ดิฉันได้ยินคนเรียกเธอว่า ม่านแก้ว ด้วย..ฟัง คลับคล้ายคลับคลา.. คล้ายอะไร เขาดวงตาเป็นประกาย ดิฉันเคยได้ยินเพลงไทยเดิม..เข้าใจว่าชื่อเพลงลาวม่านแก้ว..เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้านางน้อยหรือเปล่าคะ ลาวม่านแก้ว เป็นเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อเจ้านางน้อยโดยเฉพาะ..วงมโหรีเล่นเพลงนี้ขับกล่อมห้องหอในวันมงคลของเธอ นี่เจ้านางน้อยได้เป็นหม่อมของเสด็จในกรมฯหรือคะ ไม่ใช่หม่อมของเสด็จในกรมฯ..แต่เป็น.. เป็นอะไรคะ พูดจบก็หน้ามืดยืนซวนเซเหมือนจะประคองตัวเองไม่อยู่ เธอเหนื่อยเกินไปแล้ว..ราชาวดี ราชาวดีพยายามฝืนตัวเอง แต่ในที่สุดก็หมดสติล้มวูบลง .. เมื่อได้สติขึ้นมาอีกครั้ง ราชาวดีพบว่าตัวเองสลบอยู่บนเตียง โดยมีบรรดาครูรุมล้อมด้วยความห่วงใย ถวิลเล่าให้ราชาวดีฟังว่าเธอหายไปทั้งคืนจนทุกคนต้องออกตามหา และจางวางจันเป็นคนไปพบเธอ นอนสลบอยู่ในสวนหน้าวัง ราชาวดีสารภาพว่าเธอแอบไปที่ตำหนักริมน้ำและได้พบกับเจ้าของตำหนักด้วย กาบทองยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะตำหนักริมน้ำถูกทิ้งให้รกร้าง มานานไม่มีใครเข้าไปอยู่ที่นั่นได้ หรือถึงจะมี ก็ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของวังคือ จิรายุสก่อน ราชาวดีไม่เชื่อ รบเร้าให้กาบทองพาไปพิสูจน์ที่ตำหนักริมน้ำอีกครั้ง เมื่อไปถึง ราชาวดีถึงกับทรุด เพราะตำหนักที่เธอเคยเห็นว่างดงาม บัดนี้กลับเสื่อมโทรมรกร้างและไร้วี่แววของชายหนุ่ม ซึ่งเป็นเจ้าของตำหนักอย่างที่ทุกคนยืนยันจริงๆ ตำหนักริมน้ำปิดตายมาหลายสิบปีแล้ว..ไม่เคยมีใครได้อยู่ที่นี่สักคน..และความจริงอีกข้อก็คือ..ไม่มีใครจะเข้าไปในตำหนักด้านในได้แม้แต่จางวางจัน..เพราะกุญแจห้องข้างในนั้นมีคุณชายจิรายุสเป็นผู้ถืออยู่ท่านเดียว กาบทองว่า ...เพราะฉะนั้น..ฉันขอให้เรื่องยุติลงแต่เพียงเท่านี้ เธออย่าเอาเรื่องนี้ไปพูดกับใครอีกเป็นอันขาด..เพราะตอนนี้เธอก็เห็นกับตาแล้วว่าความจริงเป็นเช่นไร..สิ่งที่เธอเคยพบเห็นมาก่อนหน้านี้..มันเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้นเอง ความจริงที่แสนจะโหดร้ายทารุณนั้น ทำให้ราชาวดีรู้สึกเหมือนโดนมีดกรีดลงมาตรงหน้า เธอต้องจำใจยอมรับว่าชายเจ้าของบ้านที่เธอเจอ เป็นเพียงวิญญาณเท่านั้น แต่คนที่ทุกข์ใจอย่างแสนสาหัสมากกว่าใครก็คือท่านชายรังสิธรที่ยืนอยู่เคียงข้างราชาวดีแค่ปลายนิ้ว แต่ราชาวดีและใครๆมองไม่เห็น นับจากนั้น ราชาวดีถูกถวิลคอยตามประกบแทบทุกฝีก้าว เธอจึงไม่สามารถไปที่ตำหนักริมน้ำได้อีก เวลาของราชาวดีหมดไปกับการซ้อมดนตรีกับครูทับเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานบุญประจำปีของโรงเรียน แต่ขณะที่ราชาวดีซ้อมไวโอลินด้วยอาการเหม่อลอย เธอก็เผลอสีไวโอลินออกมาเป็นเพลงลาวม่านแก้ว ทำให้ครูทับถึงกับตกใจเมื่อได้ยิน! ราชาวดี!! ราชาวดีสะดุ้งตื่นจากภวังค์ มองเห็นครูทับยืนคิ้วขมวดย่นอยู่ตรงหน้า เธอรู้จักเพลงนี้ได้อย่างไร..เธอไปฝึกเพลง ลาวม่านแก้ว มาจากไหน ลาวม่านแก้ว!..อะไรกันคะครู ก็เพลงที่เธอเล่นเมื่อกี้ เขมรโพธิสัตว์ค่ะ..ดิฉันเล่นเขมรโพธิสัตว์อยู่ ตอนต้นน่ะใช่..แต่ท่อนแยกนั่นน่ะเพลงลาวม่านแก้วชัดๆ..เธอรู้จักเพลงนี้ได้อย่างไรกัน..คนนอกวังไม่มีใครรู้จักเพลงนี้นี่ ดิฉันเองก็ไม่รู้จักค่ะ ราชาวดีงงๆ ไม่รู้จักแล้วเล่นได้อย่างไร ดิฉัน..ดิฉันไม่ทราบจริงๆ ไม่ทราบอะไรกัน..ตอนที่ฉันเข้ามาฟังเธอกำลังเล่นถึงท่อนที่ว่า ดอกเอ๋ย..เจ้าดอกจำปาลาว..ตัวพี่รักเจ้าเท่าท้องนภาเอย จำได้ไหมล่ะทีนี้ เพลงนี้ไพเราะมากทีเดียว..เสียดายที่สมัยนี้ไม่มีใครจำได้แล้ว..เธอไปจำมาจากไหน เอ่อ..ดิฉันอาจจะเขวจำเพลงผิดไป..เพราะยังจำเขมรโพธิสัตว์ได้ไม่แม่นนัก แต่เธอต้องเคยได้ยินได้ฟังจากที่ไหนมาบ้าง..ไม่อย่างนั้นจะเล่นเพลงนี้ได้อย่างไร อ้อ..ฉันรู้แล้ว!!ก็เธอเป็นลูกวดี..นี่แม่วดีคงจำเอาไปร้องให้เธอฟังล่ะสิ..เอ..แต่ตอนที่ออกจากวังไปแม่วดีก็ยังเล็กอยู่เลยนะ..ไม่น่าจะจำได้..เธอเองก็เก่งนะที่จำได้เหมือนกัน ค่ะ..อาจจะเป็นได้ที่ดิฉันเคยได้ยินคุณแม่ร้องให้ฟัง..เนื้อร้องแปลกดีนะคะ..พูดถึงดอกจำปาลาว..เอ..ดอกจำปาลาวนี่มัน ก็ดอกลั่นทมไงจ๊ะ..ทางฝั่งลาว..เขาเรียกดอกจำปา..ที่เนื้อร้องเอ่ยถึงดอกจำปาลาวก็เพราะท่านชายใหญ่ท่านแต่งให้เจ้านางม่านแก้ว..อู๊ย!!สมัยก่อนใครๆก็คลั่งไคล้ใหลหลงเพลงนี้กันจะเป็นจะตาย..คุณพ่อของฉันถึงกับออกปากชมแล้วชมอีกว่าท่านชายใหญ่ท่านเก่งชนิดหาตัวจับยาก..ขนาดไม่ได้ร่ำเรียนมาโดยตรง ท่านยังแต่งได้ ตอนที่ 3 ระหว่างทางบนถนนโรยกรวดทางเดินกลับตึกนอน ซึ่งโอบล้อมด้วยต้นลั่นทมที่ออกดอกบานสะพรั่งทั้งสองข้างทาง ราชาวดีแอบชำเลืองมองบุรุษที่เดินล้ำหน้า แล้วนึกประหม่า..เขินขึ้นมาอย่างชนิดที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร..รังสิธรชะลอฝีเท้า หันมาเพื่อจะรอหญิงสาวให้ก้าวขึ้นมาเดินเคียงกัน ราชาวดีไม่ทันคิดว่าเจ้าของร่างนั้นจะหันกลับมา..จึงได้สบตากับเขาเข้าอย่างจัง..และก็ต้องหลบนัยน์ตาคมกริบนั้นแทบจะทันทีเพราะความร้อนผ่าวที่วูบวาบอยู่สองข้างแก้ม ฉันเห็นเธอมาดูตำหนักริมน้ำสองหนแล้ว..ชอบมากหรือ เอ่อ..ค่ะ..ชอบมาก..เหมือนบ้านฝรั่งในหนังสือนิยาย ตำหนักริมน้ำเป็นตำหนักที่สร้างเลียนแบบบ้านสมัยราชวงศ์ทิวดอร์ของอังกฤษ แต่ปรับให้เหมาะกับอากาศเมืองไทย..มีช่องประตูหน้าต่างเยอะเพื่อให้ลมพัดเข้าออกสะดวก และที่สร้างไว้ริมสระก็เพื่อจะได้รับไอเย็นจากน้ำและได้กลิ่นดอกบัวหอมชื่นใจ..แต่ก็..น่าเสียดาย น่าเสียดายอะไรคะ น่าเสียดายที่ไม่มีใครอยู่..ทั้งๆที่เตรียมปลูกไว้เป็นเรือนหอ แต่คุณก็อยู่ที่นั่น..ไม่ใช่หรือคะ นั่นแหละ..จะเรียกว่าไม่มีใครอยู่ก็ได้..ฉันอยู่ก็เหมือนไม่อยู่ ถึงตึกนอนแล้ว..คุณส่งดิฉันเท่านี้ก็พอค่ะ เธอเอ่ยเมื่อเดินมาถึง เธอจะไปที่ตำหนักริมน้ำอีกไหม..ราชาวดี คุณรู้จักชื่อดิฉันได้อย่างไรคะ ราชาวดีแปลกใจ ฝ่ายนั้นจ้องราชาวดีแววตาเป็นประกายแถมยังส่งยิ้มน้อยๆมาให้..ราชาวดีทำอะไรไม่ถูกได้แต่หลบตาหนีอย่างเก้อเขิน ฉันรู้จักตัวเธอมากกว่าที่เธอคิดเสียอีก..แต่เธอยังไม่ตอบคำถามของฉันเลย ไม่ทราบสิคะ..พรุ่งนี้เปิดภาคเรียนแล้ว..ดิฉันต้องยุ่งมากเสียด้วยเพราะเพิ่งสอนเป็นครั้งแรก ถ้าเธอมีเวลา..ก็ขอให้แวะไปเยี่ยมที่นั่นบ้าง..ฉันจะเปิดประตูบ้านไว้ให้เธอมานั่งเล่นริมสระ..เธอชอบไม่ใช่หรือ..ฉันจะไม่ให้ใครมารบกวนเธอ เพื่อนดิฉันมาตามแล้ว..ดิฉันเห็นจะต้องไปเสียที..ขอบคุณนะคะที่กรุณาเดินเป็นเพื่อน.. ฉันจะรอเธออยู่ที่ตำหนักริมน้ำนะ..ราชาวดี ดิฉันลาล่ะค่ะ ราชาวดียกมือไหว้อย่างอ่อนโยนแล้วรีบเดินจากไป รังสิธรมองตามด้วยแววตาหมองหม่น ละห้อยหา... ฉันจะรอเธออยู่ที่เดิม.. ถวิลนั้นมองลงมาจากตึกนอนและต้องตกใจเมือเห็นราชาวดียืนอยู่คนเดียว แต่ทำท่าเหมือนกำลังคุยกับใครอยู่ เมื่อราชาวดีกลับขึ้นมาบนตึก ถวิลก็คาดคั้นถาม...พอราชาวดีอธิบายรูปร่างท่าทางของชายหนุ่มที่เธอไปเจอที่ตำหนักริมน้ำแล้วเดินมาส่งเธอถึงนี่ ถวิลก็กลับเข้าใจไปว่าเป็น ม.ร.ว.จิรายุส ................................ ราชาวดีได้รับมอบหมายให้สีไวโอลินแสดงในงานทำบุญประจำปีของโรงเรียน ราชาวดีจึงต้องไปซ้อมต่อเพลงกับครูทับ ซึ่งเป็นครูดนตรีไทยคนเก่าคนแก่ ทันใดที่ครูทับเห็นหน้าราชาวดี เขาก็ตกตะลึง..! เจ้านางน้อย!!! ราชาวดีค่ะ ราชาวดีแปลกใจ เพราะครูทับเป็นอีกคนที่เรียกเธอเช่นนั้น ช่างเหมือนอะไรอย่างนี้ มีคนทักดิฉันสองคนแล้วว่าหน้าเหมือนเจ้านางน้อย..คนแรกก็จางวางจัน..คนที่สองก็ครูนี่ล่ะค่ะ..ดิฉันหน้าตาเหมือนท่านนักหรืออย่างไรคะ เชื่ออะไรกับสายตาคนแก่..ฉันกับจางวางจันน่ะแก่พอกัน..หูตาฝ้าฟางเหมือนกัน..อาจจะมองอะไรผิดเพี้ยนไปบ้าง.. เจ้านางน้อยเคยอยู่ที่วังนี้หรือคะ..ดิฉันถามใครก็ไม่มีใครรู้จัก ใช่..ท่านเคยอยู่ที่นี่..แต่ก็..ไม่นานนัก ท่านเป็นใครกันคะ..คุณครู เราจะต่อเพลงอะไรกันดีล่ะ..เอาเพลง เขมรโพธิสัตว์ ก็แล้วกัน..อาจจะยากหน่อยเพราะไม่ได้เรียบเรียงเป็นทำนองสากลเหมือนเพลงอื่นๆ แต่ชื่อเป็นมงคลดี..เหมาะกับงานทำบุญใหญ่คราวนี้ ครูทับเปลี่ยนเรื่อง ครูคะ..เรื่องเจ้านางน้อย เธอไม่ได้ติดซอฝรั่งมาด้วยนี่นะ..ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เราค่อยมาเริ่มต่อเพลงกัน การเลี่ยงและการตัดบทของครูทับยิ่งทำให้ราชาวดีทวีความสงสัยเรื่องเจ้านางน้อยยิ่งขึ้น เย็นนั้น ราชาวดีแอบไปที่หน้าวังเก่าของเสด็จในกรมฯอีกครั้ง เพื่อหวังจะไปถามเรื่องเจ้านางน้อยจากจางวางจัน แต่ไม่เจอ เธอจึงไปที่ตำหนักริมน้ำแทน แล้วก็เจอกับชายคนเดิมที่เจอเมื่อวานอีกครั้ง... ขอต้อนรับสู่ตำหนักริมน้ำ..ราชาวดี จางวางจันกลับเข้าบ้านพักของแกแล้ว..กำลังหุงหาอาหารอยู่..ถ้าเธอมีอะไรอยากถามแก ถามฉันแทนก็ได้ คุณรู้ได้อย่างไรคะว่าดิฉันต้องการพบแก..คุณเดาได้อย่างไรกัน!!! ราชาวดีตกใจ เดาไม่ยากไม่ใช่หรือ..ฉันเห็นเธอตะโกนเรียกแกอยู่ที่หน้าวังเหมือนมีเรื่องจะคุยด้วย..ซึ่งก็คงไม่พ้นเรื่องในอดีต..เพราะนอกเหนือไปจากเรื่องนี้แล้ว..แกแทบจะไม่พูดอะไรกับใครเลย จริงสิคะ..ดิฉันอยากพบแก..แกเป็นคนเก่าแก่ของที่นี่..น่าจะตอบข้อสงสัยที่ดิฉันอยากทราบได้ เธออยากรู้เรื่องอะไรล่ะ..ถ้าเป็นเรื่องในอดีตของวังนี้..ถามฉันก็ได้..ฉันตอบเธอได้ทุกเรื่อง เอ้อ..จางวางจันแกพูดอะไรแปลกๆ พูดถึงคนเก่าๆ ดิฉันเองก็ไม่ทราบว่ามีใครบ้าง..ถามครูที่นี่ก็..ไม่มีใครรู้จักค่ะ ใครบ้างล่ะ เอ้อ..มีอยู่คนหนึ่งที่แกเรียกว่าเจ้านางน้อย รังสิธรหน้าหมองลงทันทีทงราชาวดีด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยการตัดพ้อและเศร้าสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง! ดิฉัน..ไม่เคยได้ยินจริงๆนะคะ ราชาวดีไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปรึเปล่า..รังสิธรถอนใจยาว นิ่งไปอึดใจ ก่อนจะเริ่มเล่า... เจ้านางน้อยเป็นธิดาเจ้านายจากฝั่งโขง เจ้าป้าของเธอคือ เจ้าบัวคำ ถูกส่งมา ถวายตัวให้เป็นเจ้าจอมในรัชกาลที่ห้า โดยพักอยู่ที่ตำหนักเจ้าจอมมารดาแส ซึ่งเป็นมารดาของเสด็จในกรมฯ..เจ้าของวังนี้ เมื่อสิ้นรัชกาลที่ห้า..เจ้าจอมมารดาแสทูลลาออกมาอยู่ที่วังนี้กับพระโอรสของท่าน จึงได้ชวนเจ้าจอมบัวคำมาอยู่ด้วยกัน..หลังจากนั้นไม่นานเจ้าจอมบัวคำก็ล้มป่วย.. ขณะที่รังสิธรเล่า..ราชาวดียืนฟังอย่างตั้งใจราวกับเป็นเรื่องราวบรรพบุรุษของเธอเอง และเมื่ออาการทรุดลง เจ้าจอมมารดาแสจึงให้คนส่งข่าวไปบอกที่เมืองลาว..น้องชายของท่านคือ เจ้าอินปัน เจ้าพ่อของเจ้านางน้อยก็รีบเดินทางมาเยี่ยม..ท่านได้พาลูกสาวของท่านมาเที่ยวเมืองไทยด้วย..เจ้านางน้อยจึงได้มาพักอยู่ที่วังนี้..และเป็นที่โปรดปรานของเจ้าจอมมารดาแสเป็นอย่างยิ่งเมื่อเจ้านางบัวคำอาการดีขึ้น แข็งแรงพอจะเดินทางได้..เจ้าอินปันน้องชายท่านก็พากลับไปเมืองลาว เจ้านางน้อยกลับไปด้วยใช่ไหมคะ มิได้..เจ้านางน้อยอยู่ที่นี่..เจ้าจอมบัวคำประสงค์จะให้เจ้านางน้อยได้รับการศึกษาแบบสมัยใหม่มากกว่าที่เคยได้ศึกษาจากที่วังเดิมของเธอ..จึงฝากเจ้านางน้อยไว้กับเจ้าจอมมารดาแส รังสิธรยิ้มละมุน... เจ้านางน้อยเป็นหญิงสาวที่สวยงามมาก และมีความรู้ดี สามารถพูดภาษาฝรั่งเศสได้คล่องแคล่วตามที่เคยเรียนมาก่อนต่อมาเมื่อเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้อีกภาษาหนึ่ง เสด็จในกรมฯจึงได้ไว้พระทัยให้เจ้านางน้อยทำหน้าที่เลขานุการ..ช่วยท่านค้นคว้าเรียบเรียงตำรา ต่างๆ..และเนื่องจากพระองค์ท่านไม่มีพระธิดา..จึงได้เอ็นดูเจ้านางน้อยมากเป็นพิเศษ เจ้านางน้อยน่าจะมีความสุขมากที่ได้อยู่ที่นี่นะคะ น่าจะเป็นเช่นนั้น..แต่..ในสมัยนั้น คนในวังมีอยู่เป็นจำนวนมาก แน่เหลือเกินว่าย่อมหนีไม่พ้นปัญหาจุกจิกกวนใจต่างๆ โดยเฉพาะเมื่อมีผู้หญิงอยู่รวมกันมากๆเสด็จในกรมฯท่านมีชายาเอกชื่อ หม่อมพเยีย มีโอรสองค์เดียว นอกนั้นท่านมีหม่อมรองๆลงไปอีกหลายคน แต่ไม่มีโอรสธิดาด้วยกันเลย เมื่อท่านโปรดปรานเจ้านางน้อย ก็เลยเกิดการซุบซิบกันว่าเจ้านางน้อยจะได้เป็นหม่อมของท่านด้วย ทำให้เกิดการอิจฉาริษยากันมาก เจ้านางน้อยจึงตกเป็นเป้าการนินทาว่าร้าย ถูกเกลียดถูกชังสารพัด โธ่..แล้วเจ้านางน้อยได้เป็นหม่อมหรืออย่างไรกันคะ..ทำไมทุกคนถึงได้ตั้งป้อมรังเกียจเธอนัก..ถึงได้เป็นก็ไม่ใช่ความผิดของเธอเลยนี่คะ เธอสงสารเจ้านางน้อยหรือราชาวดี ค่ะ..เธอพลัดถิ่นมาจากแดนไกล ต้องมาอยู่อย่างโดดเดี่ยวไร้ญาติขาดมิตร ถึงจะมียศศักดิ์ก็ไม่ได้เป็นที่ยอมรับของคนในวัง..สมัยนั้นคนต่างชาติต่างภาษาคงเป็นที่รังเกียจอยู่มาก..ไม่เหมือนอย่างในสมัยนี้ คงเป็นเพราะความงามของเธอด้วย..ที่ทำให้ผู้หญิงในวังทุกคนอิจฉา งามมากขนาดนั้นเชียวหรือคะ..ดิฉันอยากจะเห็นบ้างจัง รังสิธรจ้องราชาวดีแววตาเป็นประกายเพราะนั่นเป็นวิธีการแรกที่จะพาราชาวดีย้อนสู่อดีตได้ เธออยากเห็นจริงๆหรือ ค่ะ..ดิฉันอยากเห็นตอนที่ท่านยังสาวอยู่น่ะค่ะ ไม่มีใครได้มีโอกาสเห็นเจ้านางน้อยในวัยชราหรอก ทำไมคะ ราชาวดีถามอย่างสงสัย ขณะที่รังสิธรเปลี่ยนเรื่อง... มีภาพวาดสีน้ำมันของเจ้านางน้อยอยู่ในตำหนักริมน้ำภาพหนึ่ง..เธอจะเข้าไปดูก็ได้.. เอ่อ..ดิฉัน.. เข้าไปเถอะ เธอไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น และไม่ต้องเกรงใจฉันด้วย ขอบคุณค่ะ อยู่ในห้องโถงโน้นแน่ะ เมื่อราชาวดีหันไปมอง ไฟในตำหนักก็สว่างเรืองรองไปทั้งหลัง เธอเดินเข้าไปในห้องโถง ที่กลางห้อง มีภาพเหมือนของหญิงสาวที่มีขนาดใหญ่และสูงเท่าคนจริงประดับอยู่บนผนังสีนวล.. ราชาวดีถึงกับช็อคและสลบแน่นิ่งไป เพราะภาพหญิงสาวที่ปรากฏตรงหน้าเธอนั้น ช่างเหมือนตัวเธอเองราวกับเป็นคนคนเดียวกัน!! ตอนที่ 2 อาจารย์กาบทองพาราชาวดีไปแนะนำให้หม่อมพรรณรายรู้จัก ทันทีที่หม่อมเห็นหน้าราชาวดี หม่อมก็ตะลึงไป เมื่ออยู่กับอาจารย์กาบทองสองต่อสอง หม่อมพรรณรายก็เอ่ยขึ้น... gธอตกลงจ้างแม่ราชาวดีเรียบร้อยแล้วหรือ..กาบทอง เจ้าค่ะ..เอ่อ..หรือคุณพี่เห็นว่าไม่.. เปล่า..ไม่มีอะไรหรอก..ฉันมอบสิทธิ์ให้เธอนานแล้วก็จะไม่ไปก้าวก่ายล่ะ..แต่เด็กคนนี้ทำให้ฉันนึกถึง..ใครบ้างคน ใครกันเจ้าคะ เจ้านางน้อย.. หม่อมพรรณรายพูดเหมือนรำพึง เจ้านางน้อย? อะไรกัน..หล่อนไม่รู้จักเจ้านางน้อยหรือยะ เออ..จริงสิ..ตอนนั้นเธอยังเล็กมาก รุนเดียวกับวดีนี่นา..วดีเองก็ยังไว้จุกวิ่งเล่นอยู่ในวังอยู่เลย หม่อมหมายถึงแม่ของราชาวดี ดิฉันมารู้จักกับวดีก็ตอนที่เขาออกมาจากวังแล้วเจ้าค่ะ นั่นสินะ..เธอเลยไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักเจ้านางน้อย ตอนนั้นฉันถูกส่งตัวเข้ามาอยู่ในวังพอดี กำลังรุ่นๆ..เจ้านางน้อยแก่กว่าฉันหน่อย กำลังเป็นสาวเต็มตัวทีเดียว..โอ๊ย..งามมาก งามจนลือไปถึงไหนๆ วดีคงจะเคยเห็นท่านกระมังคะ ไม่ใช่แค่เคยเห็นอย่างเดียว แต่เจ้านางน้อยรักและเอ็นดูวดีมากขนาดเกล้าจุกร้อยมาลัยดอกมะลิรัดผมจุกให้บ่อยๆ ท่านเป็นคนอ่อนหวาน ใครๆรักหลงกันเป็นแถว แม้แต่ฉันเองก็เถอะยังอดชอบไม่ได้ แต่ต้องแอบๆชอบนะ มิฉะนั้นผู้ใหญ่ฝ่ายฉันจะดุเอาว่า เอาใจเข้าข้างคนต่างชาติต่างภาษา เพราะท่านเป็นเจ้าที่ข้ามมาจากฝั่งโขงโน้น แล้วราชาวดีไปเกี่ยวพ้องอะไรกับเจ้านางน้อยล่ะเจ้าคะ อ้าว..ก็เด็กคนนั้นหน้าตาคล้ายเจ้านางราวกับถอดมาจากพิมพ์เดียวกันน่ะสิ ทั้งผิวพรรณรูปร่างก็งามหมดจดเหมือนกัน แต่เจ้านางท่านงามพร้อมอย่างสาวชาววัง..ชดช้อยนิ่มนวล..จะว่าไปก็น่าเสียดายอยู่จนบัดนี้..คนที่งามพร้อมก็มักจะ พรรณรายหยุดพูดไปเฉยๆ พร้อมกับถอนใจยาว ...เรื่องมันนมนานจนฉันออกจะลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ สีหน้าพรรณรายสลดลงเล็กน้อยในขณะที่กาบทองยังปะติดปะต่อเรื่องไม่ถูก ขณะที่อาจารย์กาบทองคุยอยู่กับหม่อมพรรณราย ราชาวดีก็แยกตัวออกมาเดินเล่นดูรอบๆ บ้านอย่างเบิกบานใจ และเธอได้เจอกับหม่อมราชวงศ์จิรายุส ลูกชายของหม่อมพรรณรายโดยบังเอิญ จิรายุสตะลึงในความงามของราชาวดีทันทีที่เห็น ตรงข้ามกับหม่อมราชวงศ์หญิงสวรรยา คู่หมั้นของจิรายุส ซึ่งไม่ถูกชะตากับราชาวดีตั้งแต่แรกเห็นเช่นกัน เย็นนั้น เมื่อราชาวดีกลับมาถึงโรงเรียนและเดินเล่นไปจนถึงเขตวังเก่า ด้วยความสงสัยในความลึกลับของเรื่องราวในวังที่เธอได้ยินมา ทำให้ราชาวดีแอบเข้าไปในเขตวังซึ่งล็อคถูกปลดเอาไว้ เธอพบว่า ท่ามกลางแนวต้นไม้น้อยใหญ่และหญ้าที่ขึ้นรก มีวังซึ่งเป็นตึกสามชั้นสไตล์วิกตอเรียนตั้งตระหง่าน ที่มุมตึกมีหอคอยสูงดูงามสง่าน่าเกรงขาม..ราชาวดีแหงนคอตั้งบ่าเมื่อมองดูหอคอยนั้น และเมื่อลดสายตาลงมา..ราชาวดีเห็นประตูทางเข้าโถงวังเปิดแง้มอยู่ ..เธอตัดสินใจเดินไปที่ประตูนั้นช้าๆ เตรียมจะเอื้อมไปเปิดประตู..แต่แล้วประตูก็เปิดอ้าออกเอง !! ราชาวดีผงะตกใจ! จังหวะนั้น จางวางจัน ชายชราผู้ดูแลวังเดินออกมาจากด้านใน ราชาวดีเห็นว่าประตูไม่ได้เปิดเองก็โล่งอก..เธอยิ้ม..เตรียมทักทาย แต่เมื่อจางวางจันหันมาเจอราชาวดี เขาก็ผงะ! เจ้านางน้อย !!! ราชาวดีคลายยิ้ม..ขมวดคิ้วแปลกใจ ไม่ใช่จ้ะตา..ฉันชื่อราชาวดี..เป็นครูใหม่ของที่นี่ ผม..ผมคงตาฝาดไป..เห็นเป็น..เฮ้อ!..โพล้เพล้อย่างนี้ มองไม่ชัดเลย ตาเห็นฉันเป็นใครนะ..เจ้านางน้อย..ใครกันจ๊ะ ทำไมถึงได้เหมือนนัก..เหมือนเหลือเกิน เมื่อก่อนเจ้านางก็เดินเล่นแบบนี้..ทุกเย็นไม่เคยขาด..ท่านชายอีกองค์หนึ่ง..โปรดนัก จางวางจันไม่ทันได้ยินที่ราชาวดีถามเพราะมัวแต่เพ่งมองหน้าเธอ ตาอยู่ที่วังนี่หรือ ครับคุณครู..ผมนอนเฝ้าวังนี้..นอนอยู่ที่เรือนมหาดเล็กด้านหลังครับ คนเดียวหรือจ๊ะ ครับ..ตั้งแต่หม่อมท่านย้ายไปก็ไม่มีใครยอมอยู่..ผมก็เลยต้องอยู่เฝ้าคนเดียว แล้ว..ตาไม่กลัวหรือจ๊ะ..เห็นเขาลือกันว่าแถววังนี่ผีดุนัก จะต้องกลัวทำไมล่ะครับ..ผมเกิดและเป็นมหาดเล็กของที่นี่..ผมรู้จักหมดทุกองค์..เจ้านายของผมทั้งนั้น..ผมคิดถึงท่านทุกองค์ละครับ วังนี้งามเหลือเกินนะตา..เสียดายที่ไม่มีคนอยู่..หม่อมท่านจะกลับมาอยู่อีกหรือเปล่านะ คงไม่กลับมาแล้วล่ะครับ..หม่อมเป็นหม่อมของท่านตั้ว..ท่านตั้วไม่ใช่เจ้าของวังนี่ครับ..เป็นแค่หลาน..ใครไม่ใช่เจ้าของวัง..อยู่ไม่ได้หรอก ถ้าอย่างนั้น..ใครเป็นเจ้าของวังละจ๊ะ ท่านชายใหญ่ แล้วท่านไปอยู่เสียที่ไหนล่ะ ท่าน..สิ้นชีพไปนานแล้วครับ ตาย..ชวนตาคุยเสียนาน..ฉันต้องกลับล่ะ..ได้เวลาแล้ว ราชาวดีก้มดูนาฬิกาแล้วก็รีบเดินฉากออกมา ขณะที่จางวางจันตัดสินใจพูด... คุณครูไม่ไปดูตำหนักริมน้ำก่อนหรือครับ อยู่ที่ไหนล่ะตา เดินเลียบกำแพงวังไปทางด้านหลังนี่ล่ะครับ..เป็นตำหนักสีขาวอยู่ริมน้ำ..ถ้าคุณครูอยากจะเข้าไปชมด้านใน ผมจะไขกุญแจให้ เอาไว้วันหลังดีกว่านะตา..ได้เวลาอาหารเย็นแล้วฉันต้องรีบไป..ไม่อย่างนั้นทุกคนจะรอ ราชาวดีเดินออกมาจากวังเตรียมมุ่งหน้ากลับไปทางตึกนอน แต่จู่ๆ เธอก็ได้ยินเหมือนคนเดินตาม เธอหันไปมองและเห็นหลังไวๆ ของผู้ชายคนหนึ่ง และใครคนนั้นมีอำนาจบางอย่างดึงดูดให้เธอตามเขาไปโดยไม่รู้ตัว ราชาวดีมารู้สึกตัวอีกที ก็พบว่าตัวเองได้มายืนอยู่หน้าบ้านสีขาวงามราวกับบ้านในเทพนิยาย เธอรู้ได้ในทันทีว่านี่คือตำหนักริมน้ำที่จางวางจันพูดถึง ใครบางคนนำทางเธอให้มาที่นี่ ระหว่างที่ราชาวดีเพ่งมองไปที่ตำหนักสีขาวอย่างอบอุ่นคุ้นเคย กลอนประตูขนาดเขื่อง เก่าจนสนิมขึ้นเขรอะ ก็ค่อยๆ ถอดสลักคลายล็อกเองอย่างช้าๆ ราวกับจะต้อนรับผู้มาเยือน แต่ราชาวดีไม่ทันได้เห็นเพราะเสียงระฆังบอกเวลาอาหารเย็นดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน ราชาวดีผละจากตำหนักริมน้ำไปอย่างรีบร้อน ทิ้งให้ใครบางคนมองตามตาละห้อย โหยไห้อยู่เพียงเดียวดายบนระเบียงตำหนัก ราชาวดีกลับมาเล่าเรื่องตำหนักริมน้ำแสนสวยที่เธอไปเห็นมาให้ถวิลฟัง ถวิลจึงเล่าให้ฟังว่าบัดนี้ตำหนักนั้นตกทอดมาเป็นของ ม.ร.ว.จิรายุส และบัดนี้ปิดร้างทรุดโทรม ราชาวดีเถียง และยืนยันว่าตำหนักที่เธอเพิ่งไปเห็นมานั้นยังอยู่ในสภาพสวยงามเหมือนในเทพนิยาย ................................ เย็นวันต่อมา ขณะที่ราชาวดีกำลังนั่งเล่นอยู่กับถวิลที่สนามเด็กเล่นในโรงเรียน เธอก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงใครบางคนเรียกหาเธอ ราชาวดีรีบเดินตามเสียงไปจนถึงตำหนักร ต้นไม้ใหญ่น้อยโยกเอนไปตามแรงลม ใบไม้แห้งปลิวว่อน ราชาวดียกมือป้องหน้ากันแรงลม แล้วจู่ๆลมที่กระพือแรงราวกับพายุนั้นก็หยุดนิ่ง ราชาวดีค่อยๆคลายมือที่ป้องหน้าออก มองซ้าย/ขวาอย่างแปลกใจ... เธอเข้ามาข้างในรั้วนี้ก็ได้ เสียงชายหนุ่มคุ้นหูดังขึ้น ราชาวดีชะงักกึกแล้วหันไปมอง เธอเห็นบุรุษรูปงามซึ่งถึงแม้จะอยู่ในชุดลำลองแต่ก็ดูภูมิฐานสง่างามยิ่งนัก บุรุษหนุ่มผู้นั้นยืนอยู่ที่มุขครึ่งวงกลมชั้นบนของตัวบ้านที่ประตูหน้าต่างเปิดรับลมอยู่ทุกบาน !! ราชาวดีอึ้งตะลึงงัน..เหมือนหลุดเข้าไปในความฝัน... ยืนอยู่ข้างนอกนานๆ..คงจะเมื่อย คำพูดของรังสิธรทำให้ราชาวดีตื่นจากภวังค์ และสุดแสนจะอายที่ชายหนุ่มเห็นว่าเธอมา ด้อมๆมองๆที่บ้านของเขา..จึงหันหลังขยับจะเดินหนี ทันใดนั้นรังสิธรก็มายืนอยู่ที่หน้ารั้วทั้งๆที่กุญแจยังล็อคคาประตู!..รังสิธรเอ่ยกับราชาวดีซึ่งเดินออกมาได้แค่สามสี่ก้าว ฉันเห็นเธอยืนมองอยู่นานแล้ว..เธอจะเข้ามานั่งเล่นที่สนามข้างในนี้บ้างไหม ราชาวดีชะงักตัดสินใจหันกลับไปมองที่มุขชั้นบน แต่เมื่อเห็นบุรุษหนุ่มยืนอยู่ที่รั้วก็แปลกใจ ทำไม..เธอไม่ได้กลัวฉันไม่ใช่หรือ เขาหัวเราะ ไม่ได้กลัวหรอกค่ะ..ทำไมดิฉันจะต้องกลัว แถวนี้ไม่ค่อยมีใครกล้ามา..เขากลัวกันทั้งนั้น..เธอกล้ามากที่มาคนเดียว ดิฉันไม่กลัวผีหรอกค่ะ..อย่างน้อยก็ไม่เคยกลัวสิ่งที่ดิฉันไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า ถ้าบอกว่ามีจริงล่ะ ท่านเหล่านั้นก็คงจะทราบเจตนาของดิฉันที่ไม่ได้คิดจะลบหลู่ท่าน..ดิฉันเพียงแต่ชอบวังโบราณอย่างนี้..เลยมาเดินชมเล่นเท่านั้นเอง แล้วเธอจะไม่เข้าไปชมข้างในหรอกหรือ เห็นจะไม่ได้หรอกค่ะ..ได้เวลาที่ดิฉันต้องกลับไปที่ตึกนอนแล้ว ฉันจะไปส่ง จวนมืดแล้ว..หนทางไม่ใคร่สะดวก..ฉันจะเดินนำทางให้ ด้วยคำพูดที่แสนจะอ่อนโยนทำให้ราชาวดีหมดสิทธิ์คัดค้าน..ได้แต่เดินตามร่างบุรุษผู้สูงสง่านั้นไปแต่โดยดี ตอนที่ 1 ปี พ.ศ.2490 ราชาวดี ปชาธร สาวน้อยวัยสิบเจ็ดจบการศึกษาจากโรงเรียนคอนแวนต์ เดินทางมาที่โรงเรียนกุลนารีวิทยาลัยพร้อม นายอำเภอบุญเรือง ปชาธร ผู้เป็นบิดาเพื่อมาสมัครเป็นครูประจำโรงเรียนตามความประสงค์ของผู้เป็นมารดาซึ่งล่วงลับไปเพราะผลจากสงครามโลกครั้งที่สอง อาจารย์กาบทอง อาจารย์ใหญ่ประจำโรงเรียน รับราชาวดีเข้ามาเป็นครูอย่างเต็มใจ เนื่องจากกาบทองและวดี แม่ของราชาวดีนั้นเคยรู้จักกันมาก่อน บุญเรืองฝากฝั่งราชาวดีไว้กับ กาบทอง และต้องเดินทางกลับอุดรฯทันที เพราะหน้าที่นายอำเภอที่ประจำอยู่ที่นั่น นับตั้งแต่ก้าวแรกที่ราชาวดีเหยียบย่างเข้ามาในเขตโรงเรียนซึ่งเคยเป็นวังเก่า ราชาวดีรู้สึกแปลกประหลาด เหมือนมีใครสักคนคอยตามเธออยู่ห่างๆ ตลอดเวลา อาจารย์กาบทองให้ราชาวดีพักอยู่กับครูสาวนิสัยดีที่ชื่อ ถวิล เธอเป็นคนคุยเก่ง ระหว่างที่พาราชาวดีเดินไปดูห้องพัก ครูถวิลก็เริ่มชวนราชาวดีคุยราวกับสนิทสนมกันมาเป็นแรมปี ห่างอาจารย์ใหญ่ออกมาได้..ค่อยโล่งอกหน่อยนะคะ ทำไมคะ..อาจารย์กาบทองดุมากหรือคะ จะว่าดุก็ไม่เชิงค่ะ แต่ท่านมักจะวางท่านิ่งๆ และด้วยท่าทีนิ่งๆแบบนี้ล่ะค่ะ ที่ทำให้พวกเราหนาวๆร้อนๆเมื่ออยู่ใกล้ สงสัยจะถอดแบบมาจากเจ้านายที่วังนี้..เพราะอาจารย์ใหญ่เองก็เคยอยู่ในวังมาก่อน ราชาวดี เจ้านายที่วังนี้ดุมากหรือคะ ดูสิคะ..ใครๆก็ลือกันทั้งนั้น แต่ตอนนี้สิ้นพระชนม์ไปหมดแล้ว ที่เหลืออยู่ก็เป็นพระญาติห่างๆชั้นหลานน่ะค่ะ ครูถวิลยืนยัน ความจริงวังนี้ก็เพิ่งสร้างเมื่อสมัยรัชกาลที่หกไม่ใช่หรือคะ..ไม่น่าจะมีใครตายกี่มากน้อยนี่คะ เจ้านายที่นี่อายุสั้นค่ะ..ทั้งเสด็จในกรมฯ หม่อมของท่านและโดยเฉพาะพระโอรส..ฉันหมายถึงท่านชายรังสิธรน่ะค่ะ..อายุสั้นเหลือเกิน จังหวะที่ถวิลพูดนั้น ราชาวดีรู้สึกเหมือนใครเดินตามเธออีก หญิงสาวจึงหยุดเดินแล้วแล้วหันขวับไปมองที่แนวต้นพู่ระหงทันที แต่ไม่พบใคร มองหาอะไรหรือจ้ะ ถวิลสงสัย ปะ..เปล่าค่ะ..ไม่มีอะไร.. ฉันเผลอพูดเรื่องเจ้านายมากไปหน่อย ถ้ารู้ถึงหูอาจารย์ใหญ่ละก็ โดนเอ็ดแย่ กรุณาอย่าบอกใครนะคะ ถวิลกระซิบกระซาบ ไม่บอกหรอกค่ะ..รับรอง เมื่อมาเข้ามาถึงห้องนอน ถวิลชวนราชาวดีคุยสักพัก ราชาวดีก็วกกลับมาคุยเรื่องวังเก่าอีกครั้ง... ฉันอยากเห็นวังเก่าบ้างจังเลยค่ะ..ไม่ทราบอยู่ทางไหนคะเพราะตั้งแต่เข้ามาก็เห็นแต่ตึกโรงเรียน อยู่ด้านหลังตึกนอนนี่ไปอีกค่ะ..ฉันเองก็เพิ่งย้ายมาอยู่ห้องนี้ เมื่อก่อนฉันนอนห้องทางปีกโน้น..แต่ห้องนี้อยู่ริมสุดน่าจะมองเห็นวังบ้าง ครูถวิลเดินไปที่หน้าต่าง ...เห็นจริงๆด้วย..มาดูสิคะ ราชาวดีมองผ่านต้นก้ามปูที่แผ่กิ่งก้านมหึมาเห็นตึกหลังคาสูง และป้อมรูปแปดเหลี่ยมลักษณะคล้ายหอคอยประดับหน้าต่างกระจกกระทบแสงอาทิตย์ในยามเย็น แลเห็นประกายวูบวาบแม้จะอยู่ในระยะไกล มีใครอยู่ที่นั่นบ้างคะตอนนี้ อู๊ย!!ไม่มีหรอกค่ะ..ปิดตายเอาไว้เฉยๆ..ดีที่อยู่ห่างโรงเรียนตั้งเยอะ..ไม่งั้นคง. ถวิลหยุดพูดแล้วเอามือลูบแขนไปมาราวกับคนเผชิญอากาศหนาว ราชาวดีหันมาเห็น อะไรหรือคะ ก็ที่วังน่ะสิคะ ถ้าพลบค่ำแล้วไม่มีใครกล้าเดินผ่านหรอกค่ะ ถึงกลางวันแสกๆก็เถอะ ลือกันว่าผีดุฉกาจฉกรรจ์เลยทีเดียว ราชาวดีมองถวิลอย่างขันๆก่อนจะหันกลับไปมองวังที่อยู่ไกลลิบอย่างเพ่งพิศ ในโต๊ะอาหารเย็น อาจารย์กาบทองบอกราชาวดีว่าพรุ่งนี้เช้าจะพาเธอไปแนะนำตัวกับหม่อมพรรณราย ซึ่งเป็นเจ้าของโรงเรียน ถวิลมาอธิบายกับราชาวดีทีหลังว่า หม่อมพรรณรายเคยอยู่ที่วังนี้ แต่ได้ย้ายออกไปอยู่ตึกใหม่แถวบางกะปิแล้วมอบหมายให้อาจารย์กาบทองดูแลโรงเรียนนี้แทน ซึ่งใครๆ ลือกันว่าหม่อมไม่ค่อยชอบวังนี้เนื่องจากวังนี้ค่อนข้างเฮี้ยน ทั้งๆ ที่เป็นวังปิดตาย แต่วันดีคืนดีก็จะได้ยินเสียงคนเดิน มีแสงไฟสว่าง และบางครั้งก็มีเสียงดนตรีดังออกมาจากวัง ราชาวดีรับฟังคำพูดของถวิลไว้แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก หากแต่คืนนั้นเอง ระหว่างที่หญิงสาวกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น ราชาวดีก็ได้ยินเสียงดนตรีไทย เธอสะลึมสะลือลืมตาขึ้นอย่างครึ่งหลับครึ่งตื่น...และพบว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในห้องทรงแปดเหลี่ยมของวังอันรโหฐานตระการตา ท่ามกลางเพลงไทยเดิมที่มีท่วงทำนอง ไพเราะอ่อนหวาน ราชาวดีซาบซึ้งกับความหวานของท่วงทำนองนั้นถึงกับรำพึงออกมาอย่างเผลอไผล เพลงอะไรนะ..ช่างไพเราะเหลือเกิน ลาวม่านแก้ว เสียงทุ้มกังวานนุ่มนวลของชายคนหนึ่งดังขึ้นด้านซ้ายของเธอ ราชาวดีหันขวับไปมองแต่ก็พบแต่ความว่างเปล่า น้องจำไม่ได้แล้วหรือ เสียงดังขึ้นอีกทาง ราชาวดีหันขวับไปมองก็พบกับความว่างเปล่าอีกครั้ง ลาวม่านแก้วของเราสองคน คราวนี้เสียงดังขึ้นชัดเจนทางด้านหลัง ราชาวดีหันขวับไป และวินาทีที่เธอกำลังจะได้เห็นหน้าเขา ราชาวดีก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อถวิลปลุกเธอตื่นจากความฝันพอดี! รุ่งเช้า ราชาวดีทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ได้ เธอเอ่ยถามอาจารย์กาบทองที่โต๊ะอาหาร... อาจารย์ใหญ่คะ..อาจารย์เคยเห็นห้องโถงใหญ่ทรงแปดเหลี่ยมบ้างไหมคะ เคย อาจารย์กาบทองนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ตอบโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองราชาวดี เป็นโถงที่ตกแต่งแบบยุโรปนะคะ ปราสาทราชวังที่เมืองนอกก็มีอยู่ทั่วไปที่เป็นทรงนี้ ถามทำไมจ้ะแม่ฟ้า แต่นี่..น่าจะอยู่ในพระนครนะคะเพราะเป็นโถงแปดเหลี่ยมแบบยุโรปแต่ปูด้วยพรมแดง..ใช้วางเครื่องดนตรีไทย กาบทองชะงัก..ลดหนังสือพิ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook