10 อันดับหนังทุนสูงที่สุดจนถึงปี 2012

10 อันดับหนังทุนสูงที่สุดจนถึงปี 2012

10 อันดับหนังทุนสูงที่สุดจนถึงปี 2012
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

อันดับ 10 Superman Returns (2006)

เริ่มต้นด้วยหนังทุนสร้างสูงราคาแพงตั้งแต่เคยมีสร้างกันมาที่อันดับ 10 กับหนังซูเปอร์ฮีโร่กางในสีแดงอย่าง "ซูเปอร์แมน" แม้จะเป็นฉบับรีเมกใหม่ จะเรียกให้ถูกน่าจะรีบูทยกเครื่องทำใหม่ของ ไบรอัน ซิงเกอร์ (ชื่อนี้คุ้นๆใช่ไม๊? คือผู้กำกับที่เคยมีผลงานทำหนังซูเปอร์ฮีโร่มาแล้วแต่คนละค่ายอย่าง X-Men และ X2) แต่ทว่ากลับไม่ได้สร้างความประทับใจให้กับนักวิจารณ์มากนัก รวมถึงผู้ชมเองด้วยก็ตาม โดยหนังเรื่องนี้ใช้งบประมาณทุนสร้างและการโฆษณาประมาณ 232 ล้านเหรียญฯ ถือว่าสูงมากสำหรับสร้างหนังฮอลลีวู้ดสักเรื่องหนึ่งในปัจจุบัน ผลรายได้กลับมาในอเมริกาคือ 209 ล้านเหรียญฯ ไม่คุ้นทุนสร้างเลย แต่โชคดีที่มีตลาดต่างประเทศคอยช่วยในเรื่องรายได้ แม้ผลตอบรับจะไม่คอยดีนัก แต่ทางเจ้าของค่ายหนังอย่างวอเนอร์ก็ไม่เข็ด ยังพยายามจะสร้างหนังฮีโร่ในตำนานให้โด่งดังขึ้นมาให้ได้อีกครั้ง ว่าแล้วก็คลอดโปรเจ็คใหม่ เปลี่ยนนักแสดงนำใหม่(น่าจะยกชุดทีมนักแสดง) ผู้กำกับใหม่ และชื่อหนังใหม่อีกด้วยเป็น Man of Steel โดยผู้กำกับคนใหม่ก็ดีกรีไม่ธรรมดาน่าจะคุ้นหูแฟนหนังบ้านเราแน่อย่าง แซ็ค ซไนเดอร์ จากเรื่อง 300 นั้นเอง คาดว่าจะฉายช่วงซัมเมอร์ปี 2013

 

อันดับ 9 Avatar (2009)

หนังของผู้กำกับ เจมส์ คาเมรอน เรื่องนี้ได้สร้างประวัติศาสตร์รายได้ถล่มวงการภาพยนตร์ทั้งในอเมริกาและทั่วโลกไปแล้ว ด้วยการยึดสถิติหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลของอเมริกาและของโลก เหนือแชมป์เก่าอย่าง ไททานิค (ก็เรื่องนี้ของ เจมส์ คาเมรอน เองอีกนั้นแหล่ะ) ลงได้สำเร็จเมื่อปี 2009 จากรายได้ทั้งหมด 2.7 พันล้านเหรียญฯ จากมูลค่ารวมทุนสร้างและค่าโฆษณาประมาณ 237 ล้านเหรียญฯ ได้เงินทั้งคุ้มทุนพร้อมกำไรอีกอื้อ ผลตอบรับดีเกินคาดอย่างนี้ทางฟ็อกซ์และคาเมรอนเอง เตรียมสร้างภาคที่ 2 กันแล้วอีกไม่นานเกินรอประมาณปี 2015

 

อันดับ 8 Harry Potter And The Half-Blood Prince (2009)

แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเจ้าชายเลือดผสม เป็นตอนที่ 6 ในชุดภาพยนตร์พ่อมดน้อย ที่ใช้ทุนสร้างมากที่สุดกว่าทุกภาคๆที่ผ่านมา (ภาคสุดท้ายไม่นับรวม เพราะถูกแยกของมาเป็น 2 ตอน) โดยในภาคนี้มีมูลค่ารวมทุนสร้างและค่าโฆษณาประมาณ 250 ล้านเหรียญฯ และทำกำไรจากทั่วโลกได้งามเช่นกันประมาณ 934 ล้านเหรียญฯ และคิดดูภาคอื่นๆใช้ทุนสร้างน้อยกว่านี้ แต่ทำกำไรได้บานเบอะ ทางวอเนอร์ได้แต่ยิ้มรับตังอย่างสบายใจ

 

อันดับ 7 The Dark Knight Rises (2012)

จากความสำเร็จทั้งกล่องและรายได้ของ The Dark Knight ทำให้แฟนๆหนังต่างคาดหวังไว้ว่า แบทแมนภาคสุดท้ายของผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ โนแลนเรื่องนี้จะเปิดตัวได้สวยงามอีกครั้ง แม้ตัวหนังจริงยังไม่ฉาย แต่แค่ทางวอเนอร์ปล่อยตัวอย่างออกมาก็เรียกเสียงฮือฮาจากแฟนหนังกันทั่ว นอกจากทีมนักแสดงสมทบชุดใหม่ที่ดึดดูดคน และตัวบทหนังก็คาดเดาได้ยากแล้ว แต่มูลค่าในการสร้างยังสูงขึ้นอีกด้วย และใช้งบประมาณไปทั้งสิ้น 250 ล้านเหรียญฯ เรียกว่าจะปิดฉากทั้งที่มันต้องเจ๋ง และต้องอลังการงานสร้างด้วย

 

อันดับ 6 Pirates Of The Caribbean: On Stranger Tides (2011)

ภาคล่าสุดกับหนังกัปตันเรือโจรสลัดนามว่า แจ็ค สแปร์โรว์ แม้เรื่องนี้จะเล่าย้อนไปในอดีตก่อนจะกำเนิดภาคแรกของหนังชุดนี้ก็ตาม แต่ดูๆเหมือนว่าแฟนหนังชุดนี้เอง ออกจะไม่ค่อยปลื้มซะเท่าไร รวมถึงเหล่าบรรดานักวิจารณ์เองด้วย แม้ภาคนี้จะใช้ทุนสร้างน้อยกว่าภาค At World's End (ภาคที่มีคนบ่นมากที่สุดของความเลอะเทอะในเรื่อง) คือใช้งบประมาณ 250 ล้านเหรียญฯ แต่ก็ทำกำไรให้ดิสนีย์ยังยิ้มได้จากรายได้ทั่วโลกมากถึง 1 พันล้านเหรียญฯ รายได้หนึ่งในนั้นมาจากการที่หนังฉายในระบบสามมิติด้วย

 

อันดับ 5 Spider-Man 3 (2007)

นี่ก็เป็นหนังปิดไตรภาคชุดไอ้แมงมมุมของผู้กำกับ แซม ไรมี่ ที่ดูเหมือนว่าเสน่ห์ของสไปเดอร์แมน นั้นเริ่มจะหมดลง และตัวผู้กำกับเองเหมือนจะอิ่มตัวในความสำเร็จมาเช่นกัน รายได้จึงไม่เปรี้ยงปร้างในอเมริกาเหมือนสองภาคก่อนหน้านั้น แต่ยังโชคดีที่ได้ตลาดต่างประเทศช่วยเหลือจึงทำให้ภาคนี้มีรายได้รวมทั่วโลกสูงกว่าภาคที่ผ่านมา สำหรับงบประมาณในการสร้างภาคนี้อยู่ที่ 258 ล้านเหรียญฯ ราคานี้น่าจะรวมกับค่าโฆษณาภาพยนตร์ แต่อย่างไรก็ตามทางโซนี่และมาร์แวลยังไม่เข็ด ยังคงพยายามจะหารายได้จากตัวละครดังของมาร์แวลนี้อยู่ ด้วยการเริ่มต้นสร้างภาคใหม่ เริ่มเนื้อเรื่องใหม่ รวมถึงเปลี่ยนพระเอกคนใหม่ นางเอกคนใหม่ด้วย เอามายกเครื่องใหม่ให้ไฉไลกว่าเดิม จึงได้ชื่อหนังใหม่คล้ายต้นฉบับจากการ์ตูนว่า The Amazing Spider-Man และจะอวดโฉมให้คนดูในซัมเมอร์ปี 2012 นี้ด้วย

 

อันดับ 4 Rapunzel (2010)

เดี๋ยวนี้การ์ตูนเรื่องอะไรๆก็ใช้คอมพิวเตอร์สร้างทั้งนั้น และเหมือนว่าการแข่งขันก็เริ่มรุนแรงและสูงขึ้นด้วยล่ะซิ ดังนั้นหลายๆค่ายพยายามคิดบทหนังการ์ตูนเรื่องใหม่อยู่เสมอ บ้างครั้งมันก็เริ่มหมดมุข เมื่อคิดไม่ออก ก็เอาของเก่ามาดัดแปลงซิ ดูเหมือนดิสนีย์จะได้เปรียบกว่าทุกๆค่ายในฮอลลีวู้ด (ดิสนีย์ตั้งมานานกว่า 100 ปี ย่อมมีของเก่าค้างสต๊อกนำมาปัดฝุ่นใหม่เพียบ) จึงนำการ์ตูนวาดมือในอดีตอย่าง ราพันเซล มาสร้างในรูปแบบที่ทันสมัยซะเลย โดยเปลี่ยนตัวเนื้อเรื่องนิดหน่อยให้ทันกับยุคสมัย แต่ดูเหมือนมันทำงบประมาณในการสร้างงบบานปลายกว่าสร้างการ์ตูนเรื่องใหม่ๆ เนื่องจากตัวละครที่เป็นคนอาจจะสร้างยากกว่าสัตว์หรือพวกตุ๊กตา เลยใช้ทุนสร้างสูงถึง 260 ล้านเหรียญฯ น่าจะเป็นการ์ตูนที่มีราคาแพงมากที่สุดในโลก สงสัยต้นทุนสูงอย่างนี้ทางค่ายดิสนีย์เลยแก้เผ็ดทำมันออกมาเป็นสามมิติ เพื่อเรียกราคาตั๋วให้สูงขึ้นมั้ง!?

 

อันดับ 3 The Hobbit (2012-2013)

ไม่น่าเชื่อหนังแจ้งเกิดของผู้กำกับ"อ้วนหัวฟู" ปีเตอร์ แจ็คสัน อย่างเรื่อง เดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ ทั้งสามภาคที่ใช้ทุนสร้างประมาณ 300 ล้านเหรียญฯ แต่กลับทำกำไรทั่วโลกมหาศาลเกือบถึง 3 พันล้านเหรียญฯ ทำให้ตอนนั้นค่ายหนังอิสระเล็กๆไม่ใหญ่มากนักอย่าง นิวไลน์ ซีนีม่า เหมือนถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 เลยทีเดียว แค่นั้นยังไม่พอยังโกยกล่องออสการ์ไปนอนกอดรวม 17 ตัว เรียกว่าคุ้มเกินคุ้มเลยทีเดียว ไม่แปลกที่แจ็คสันจะกลับมาอีกครั้ง (แม้ตอนแรกจะมาเป็นแค่ผู้อำนวยการสร้างเฉยๆ แต่หลังๆผู้กำกับหลายคนกลับถอนตัวออกจากโปรเจ็คนี้กัน) หลายๆคนบอกว่า เค้านั้นเกิดมาคู่กับเรื่องเดอะลอร์ดอย่างแท้จริง และเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะสร้างปฐมบทก่อนการผจญภัยของแหวนครองพิภพเรื่อง The Hobbit เพื่อความอลังการที่มากขึ้นกว่าเดิมทุนสร้างจึงต้องสูงถึง 270 ล้านเหรียญฯ ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะดีมากกว่าเดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ หรือไม่ปลายปี 2012 แฟนๆหนังจะได้รู้กัน

 

อันดับ 2 Pirates Of The Caribbean: At World's End (2007)

ภาคสุดท้ายตำนานเรือโจรสลัดของผู้กำกับ กอร์ เวอร์บินสกี้ (ภาคล่าสุด On Stranger Tides กำกับโดย ร็อบ มาแซลล์) เรื่องนี้มีมูลค่ารวมทุนสร้างและค่าโฆษณาประมาณ 300 ล้านเหรียญฯ มากกว่าภาคไหนๆ แต่กลับสร้างรายได้ไม่สวยนัก ทำเงินไปได้ 960 ล้านเหรียญฯ ถึงจะไม่ขาดทุน แต่ทำให้ผู้ชมเริ่มขาดความเชื่อมันในแนวทางที่หนังควรจะเป็น เพราะภาคล่าสุดโดนแฟนหนังรวมทั้งนักวิจารณ์ถล่มเละในเรื่องความเลอะเทะออกทะเล จนให้ตัวหนังต้องปิดฉากเพียงแค่นี้ ถ้าจะสร้างใหม่คงต้องยกเครื่องกันทั้งหมดเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามมีสิ่งหนึ่งที่แฟนๆหนังชุดนี้จำได้ดีท่าสุดคือ การแสดงบทบาทของกัปตัน แจ็ค สแปร์โรว์ จอมยียวนของ จอนห์นี่ เด็ปป์ นั้นเอง


อันดับ 1 John Carter (2012)

ในที่สุดก็มาถึงอันดับที่ 1 ทางทีมงาน toptenthailand ขอเสนอเรื่อง John Carter ถือเป็นงานชิมลางกำกับคนแสดงจริงครั้งแรกของ แอนดรูว์ สแตนตัน (Wall-E, Finding Nemo, A Bug's Life) ทำท่าจะไม่เวิร์ค แม้คำจากนักวิจารณ์จะไม่เลวร้ายมากมาย แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าที่หนังเจ๊งแห่งปี 2012 ไปแล้ว โดยดูจากมูลค่าทุนสร้างและค่าโฆษณาสูงประมาณ 300 ล้านเหรียญฯ แต่ทำรายได้ทั่วโลกขณะนี้ไม่ถึง 200 ล้านเหรียญ นี่ยังไม่ได้ทุนคืนเลย อาจเป็นเพราะทางดิสนีย์กล้าเสี่ยงกับเจ้าพ่อการ์ตูนอย่าง แอนดรูว์ สแตนตัน เองที่เคยสร้างผลงานและรายได้ดิสนีย์มามาก เลยตกลงใจลงทุนกับโปรเจ็คครั้งนี้อย่างเต็มที่ รวมถึงการโปรโมทหนังที่ไม่เข้าขั้นดึดดูดคนดูมากนัก จนต่อมากลายเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ที่สุด เมื่อได้ชื่อว่าหนังในประวัติศาสตร์ที่ใช้เงินถ่ายทำสูงสุดแต่ทำรายได้สวนทางกับทุนสร้างที่มหาศาลเช่นกัน

 

เจ๊ง!! จอห์น คาร์เตอร์ ทำค่ายหนังขาดทุนมหาศาล

ติดตามข่าวบันเทิง หนังใหม่ ตัวอย่างหนัง ดูหนังได้ที่ movie.sanook.com

ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ ของ 10 อันดับหนังทุนสูงที่สุดจนถึงปี 2012

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook