วิจารณ์ The Hunger Games: Catching Fire

วิจารณ์ The Hunger Games: Catching Fire

วิจารณ์ The Hunger Games: Catching Fire
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

การเปลี่ยนผู้กำกับจาก แกรี่ รอสส์ ที่ช่วยให้หนังภาคแรกของ The Hunger Games ประสบความสำเร็จ มาเป็น ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ ใน The Hunger Games: Catching Fire นับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของสตูดิโอ เมื่อ ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยยกระดับให้หนังที่สร้างขึ้นมาจากวรรณกรรมของ ซูซาน คอลลินส์ กลายเป็นหนังระดับมหากาพย์ที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมในทุกๆ ทาง


ใน
 The Hunger Games ภาคแรก หนังจะมุ่งความสนใจไปที่การแข่งขันเกมล่าชีวิต ที่มีทั้งสนุกและกดดันจากเหตุการณ์ดราม่าในเวลาเดียวกัน ทั้งยังสะท้อนในเห็นถึงผลกระทบของการแข่งขัน ทั้งฝ่ายคาปิตอลที่สนุกสนานไปกับการแข่งขัน กับเขตปกครองต่างๆ ทั้ง 12 ที่เริ่มไม่พอใจจนเกิดการจราจลขึ้น และนั่นทำให้ The Hunger Games ไม่ใช่หนังวัยรุ่นที่เน้นเรื่องของการต่อสู้และความรักเหมือนหลายเรื่องที่ผ่านมา แต่ยังมีเรื่องของรัฐศาสตร์เข้าไปด้วย!




และใน
 Catching Fire ก็เป็นการขยายขอบเขตของภาคแรก ให้เห็นถึงผลกระทบในแบบรูปธรรมที่แสดงให้เห็นว่าผลกระทบจากการแข่งขันในภาคแรกนั้น มีพลังมากมายเพียงใด ด้วยเรื่องราวของแคทนิสตั้งแต่การอาสาเพื่อมาแข่งขันไปจนบทสรุปของการแข่งขันครั้งที่ 74 เธอได้กลายเป็น สาวน้อยผู้มากับไฟประกายไฟเล็กๆ ที่จุดติดขึ้นมาในหัวใจของผู้ที่คัดค้านรูปแบบการปกครองของแคปิตอล เป็นสัญลักษณ์ที่ผู้มีอำนาจก็ไม่อาจแตะต้องหรือทำลายได้โดยง่าย เพราะอาจจะนำไปสู่ความโกลาหลที่รัฐไม่สามารถจัดการได้อีกต่อไป!


แต่ประธานาธิบดีสโนว์ก็มิอาจนิ่งนอนใจ พร้อมกับได้คิดมาตรการเพื่อควบคมเชื้อไฟเล็กๆ นี้ แต่เมื่อเห็นว่าไม่สามารถควบคุมได้ จึงใช้รูปแบบของเกมฉบับพิเศษขึ้นมาจัดการ ซึ่งก่อนที่หนังจะนำไปสู่เกมถือว่าเป็นการต่อสู้โดยที่ไม่ต้องใช้คำพูด แต่ใช้การกระทำ เป็นการต่อสู้ในเชิงจิตวิทยาอย่างแท้จริง ซึ่งหากใครที่สนใจว่าหนังจะนำไปสู่การแข่งขันเกมล่าชีวิตคงจะรู้สึกอึดอัด แต่กับผู้ที่ต้องการอะไรที่เหนือกว่าการแข่งขันในภาคแรก จะรู้สึกว่านี่คือการปูเรื่องไปสู่การแข่งขันเกมล่าชีวิตครั้งที่
75 หรืออาจเป็นการปูไปสู่ความขัดแย้งครั้งสุดท้ายในภาค Mockingjay ได้อย่างยอดเยี่ยม!

 

ส่วนหนึ่งต้องชื่นชม ซูซาน คอลลินส์ ผู้เขียน The Hunger Games ที่ยอดเยี่ยมยิ่งในการเล่าเรื่องการต่อสู้ที่มีหลายระดับ ทั้งการต่อสู้ภายในจิตใจตนเอง การต่อสู้ในรูปแบบของเกมการแข่งขัน ไปจนถึงการต่อสู้ระหว่างชนชั้นปกครองและใต้ปกครอง ที่เต็มไปด้วยรายละเอียด ที่เป็นดั่งภาพสะท้อนถึงสังคมโลกในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี




อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ Catching Fire เหนือกว่า The Hunger Games อย่างเห็นได้ชัด คือการใส่มิติของทุกตัวละครในเรื่อง ในภาคแรกหนังได้รับการยกย่องอย่างมากในด้านการแสดงของ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ที่เธอรับบท แคทนิส ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่หนังโฟกัสไปที่ตัวของ แคทนิส เป็นหลัก แต่ในภาคนี้ ตัวละครสำคัญ ทั้ง พีต้า เฮย์มิตช์ เอฟฟี่ ซินน่า หรือ แม้กระทั่ง เกล ที่ภาคนี้ได้รับบทบาทมากยิ่งขึ้น และทำให้ประเด็นรักสามเศร้าระหว่าง แคทนิส พีต้า และ เกล เป็นสิ่งที่ชวนติดตามและลุ้นว่าตอนนี้ใครคือคนที่แคทนิสรักอย่างแท้จริง! ทั้งนี้ยังรวมไปถึงเหล่าผู้พิชิตจากเขตอื่นที่ทำให้เกมล่าชีวิตในครั้งนี้มีมิติมากกว่าครั้งที่แล้ว!

 

ความยอดเยี่ยมทางการแสดงของ โดนัลด์ ซัตเทอร์แลนด์ และ ฟิลิฟ ซีมัวร์ ฮอฟฟ์แมน ในบทประธานาธิบดีสโนว์ และ พลูตาร์ช เกมเมกเกอร์คนใหม่ ช่วยเสริมให้หนังในภาพรวมเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น แสดงให้เห็นทั้งฝ่ายปกครองและฝ่ายต่อต้าน แต่ทั้งนี้คนที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็ยังคงเป็น เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ที่แสดงให้เห็นถึงความคัดแค้น สับสน กดดันจนเกินจะรับ นำไปสู่ความฮึกเหิมที่จะลุกขึ้นต่อสู้ของ แคทนิส ได้อย่างทรงพลังมากๆ และนับเป็นการพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งในทางด้านการแสดงของเธอสมกับรางวัลออสการ์นักแสดงหญิงยอดเยี่ยมปีล่าสุด!


เทคนิคพิเศษที่เคยเป็นจุดบอดในภาคแรก ก็ได้รับการแก้ไขในภาคนี้ พร้อมทั้งเพิ่มความยิ่งใหญ่เข้าไปอีกในหลายฉาก ทั้งฉากในเมืองคาปิตอล หรือ ฉากสนามแข่งเกมล่าชีวิตครั้งที่ 75 จนรู้สึกได้ถึงความเป็นหนังที่มีสเกลใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงการออกแบบเครื่องแต่งกายและการแต่งหน้าที่ล้ำ งดงาม และเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นอีกอย่างเมื่อนึกถึงหนัง The Hunger Games



 

ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ ทำได้ดี ในการเล่าเรื่องที่ไต่ระดับทางอารมณ์ของผู้ชมให้พุ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ที่มีครบทุกอารมณ์ทั้ง รัก เศร้า หม่นหมอง ตื่นเต้น แม้กระทั่งระทึกขวัญสั่นประสาท เป็น 146 นาที ที่สนุกและเพลิดเพลิน นำไปสู่บทสรุปที่ทำอยากชมภาค Mockingjay ต่อในทันที! ซึ่งวิธีการปิดฉากแบบนี้! ถ้ามองอีกมุมก็อาจเป็นการปิกฉากที่ดูครึ่งๆ กลางๆ แต่ ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ สามารถทำออกมาได้ถึงอารมณ์และทำให้การปิดภาค Catching Fire ด้วยรูปแบบนี้เป็นความลงตัวอย่างน่าประหลาด (หากเทียบกับ The Matrix Reloaded แล้วจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด)

 

ที่กล่าวมาทั้่งหมดคือสิ่งที่ทำให้ Catching Fire เป็นหนึ่งในหนังภาคต่อที่ทำได้ดีกว่าภาคแรกในทุกๆ ด้าน และเมื่อภาคสุดท้าย Mockingjay ที่ถูกวางให้เป็นตอนจบ 2 ภาค คือ Mockingjay Part 1 และ Part 2 มาถึง ที่ยังคงได้ ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ มารับหน้าที่กำกับเช่นเดิม! มันจะกลายเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ของภาพยนตร์ที่สร้างจากวรรณกรรมที่ยอดเยี่ยมที่สุด ตามหลังรุ่นพี่อย่าง Harry Potter และ The Lord of the Rings อย่างแน่นอน!

 

The Hunger Games: Catching Fire ผมให้ 5 / 5 คะแนน

 

 

@Chamanz13

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook