วิจารณ์หนัง Pompeii

วิจารณ์หนัง Pompeii

วิจารณ์หนัง Pompeii
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

Pompeii

หากจะต้องลองเท้าความกันสักหน่อย ปอมเปอี นั้นเป็นมหานครชายทะเลที่มีความเจริญรุ่งเรืองในอดีตอย่างมากมาย มีการสั่งสมอารยธรรมจากโรมันให้แง่ของสถาปัตยกรรมตึกรามบ้านช่อง ผู้คนใช้ชีวิตกันอย่างสุขสบาย ทว่าความรุ่งเรืองทุกอย่างก็ต้องถึงกาลดับสูญเมื่อ ภูเขาไฟวิซูเวียส ปอมเปอี เกิดระเบิดขึ้นและแผ่ขยายเถ้าถ่าน ลาวา จนทุกสิ่งในอาณาบริเวณนั้นพังพินาศเหลือเป็นแค่เพียงอดีต

Pompeii ซึ่งกำกับโดย พอล ดับเบิ้ลยู เอส แอนเดอร์สัน เจ้าของผลงานการกำกับหนังสุดฮิตอาทิ Death Race และ Resident Evil แม้ว่าตลอดการทำงานผลงานของเขาไม่ค่อยจะได้รับคำชื่นชมจากบรรดานักวิจารณ์สักเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ตามพอลก็เป็นนักทำหนังคนหนึ่งที่เล่าเรื่องในภาพยนตร์ออกมาได้สนุก อย่างน้อยเขาก็ไม่ทำให้เรารู้สึกว่าหนังเรื่องนั้นเลวร้ายจนอยากจะเดินออกจากโรงภาพยนตร์

Pompeii มีโครงเรื่องหลักๆ อยู่ที่ ไมโล (คิท แฮริงตัน) ทาสที่มีปมฝังใจกับ คอร์วัส (คีเฟอร์ ซูเธอร์แลนด์) ข้าราชการที่เคยฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครอบครัวและชนเผ่าคนเลี้ยงม้าจนเหลือไมโลเป็นคนสุดท้าย ระหว่างที่เติบโตขึ้นนั่นเองด้วยทักษะการต่อสู้ ที่หาตัวจับยากและความสามารถในการดูแลม้าชั้นเลิศ กระทั่งวันหนึ่งระหว่างที่เขากำลังโดนลำเลียงไปเป็นทาสเพื่อต่อสู้ในเมืองปอมเปอี ไมโลก็ได้พบกับ แคสเซีย (เอมิลี บราวน์นิ่ง) ลูกสาวพ่อค้าผู้เลอโฉม เธอเพิ่งจะเดินทางกลับมาจากกรุงโรม แคสเซียตกหลุมรักไมโลทันทีที่เธอได้เห็นเขา

Pompeii

ท่ามกลางภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุในอีก 48 ชั่วโมง เรื่องการบ้านการเมืองของปอมเปอีก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน เมื่อคอร์วัสเดินทางมาเจรจาติดต่อราชการกับ เซอร์เวอร์รัส (จาเรด แฮร์ริส) พ่อของแคสเซียเพื่อลงนามในการพัฒนาสาธารณูปโภคในเมืองนี้อาทิ สนามประลอง ที่อาบน้ำสาธารณะ แต่เหนืออื่นใดเป้าหมายอันสูงสุดของเขาก็คือการช่วงชิงแคสเซียมาเป็นภรรยาให้ได้

ไมโลได้กับกับ แอททิคัส (อเดเวล อัคบาเจ) ทาสผิวดำที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขา แต่หลังจากที่ได้ช่วยเหลือกันมาทั้งสองก็กลายเป็นพี่น้องพี่ยอมตายแทนกันได้ ระหว่างงานเลี้ยงฉลองที่บ้านของแคสเซีย ไมโลจึงได้พบเธออีกครั้ง เหตุการณ์ในครั้งนั้นจึงจุดไฟรักให้ทั้งคู่ห่วงหาอาวรณ์กัน และแล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อ ไมโลต้องเข้าสนามประลองเพื่อเอาชีวิตรอด คอร์วัสที่จะช่วงชิงแคสเซียมาเป็นของตนให้ได้เขาจึงนำเธอไปขังไว้ที่บ้าน และระหว่างนั้นเองภูเขาไฟวิซูเวียสก็พ่นลาวาและลูกไฟออกมาจนทุกคนในเมืองต้องหนีตายกันอย่างอลหม่าน

Pompeii

จะว่าไปแล้ว Pompeii ตัวหนังเน้นหนักในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคู่พระนางมากกว่าจะโชว์ฉากมหันตภัยที่เป็นจุดขายของเรื่อง เพราะกว่าภูเขาไฟจะปะทุอย่างบ้าคลั่ง ก็ปาเข้าไปชั่วโมงกว่า อีกทั้งเรื่องราวในช่วงก่อนหน้าก็มีฉากต่อสู้ให้ดูเป็นน้ำจิ้มแก้เบื่อไปพลาง

อย่างไรก็ตามการแสดงของ คิท แฮริงตัน นั้น ก็เรียกได้ว่าแข็งทื่อพอๆ กับหน้าท้องซิกซ์แพคได้รูปของเขานั่นแหละ อย่างไรก็ตาม เอมิลี่ บราวนิ่ง ก็เป็นหญิงสาวที่งดงามและสะบักสะบอมอยู่ไม่น้อยเมื่อเธอต้องวิ่งหนีลูกไฟท้ายเรื่องอย่างสะบักสะบอม

Pompeii

น่าเสียดายที่เวลาในหนังประมาณ 107 นาที หนังมีประเด็นย่อยอย่างเรื่องการเมืองเยอะแยะไปหมด แต่กลับถูกบริหารจัดการไม่ค่อยจะดีนัก ฉากเข้าพระเข้านางก็น้อยเสียจนเราตั้งคำถามว่าทั้งคู่รักกันจนพากันหนีไปตั้งแต่ตอนไหน ชีวิตของแคสเซียมีอะไรยากลำบากนัก (เว้นเสียแต่เรื่องโดนจับแต่งงาน) เมื่อหนังต้อง “รีบ” เล่าทุกอย่าง คนดูก็เลยยังไม่ทันอินกับความรักของทั้งสอง

สุดท้ายฉากโศกนาฏกรรมตอนจบที่ชวนซึ้งเลยก็เป็น “จบแล้วเหรอ” ไปซะดื้อๆ อย่างน่าเสียดาย ........ กลับไปดู TITANIC อีกรอบดีกว่า

ยกให้ 3 คะแนนจาก 5 คะแนนครับ
@พริตตี้ปลาสลิด

อัลบั้มภาพ 7 ภาพ

อัลบั้มภาพ 7 ภาพ ของ วิจารณ์หนัง Pompeii

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook