วิจารณ์หนัง Divergent

วิจารณ์หนัง Divergent

วิจารณ์หนัง Divergent
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook


วิจารณ์หนัง Divergent 

 

 

ถ้าหาก เจนนิเฟอร์ ลอวเรนซ์ จะแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวและโด่งดังเป็นพลุแตกจาก The Hunger Game เชลลีน วู๊ดลีย์ ก็เป็นนักแสดงหญิงวัยทีนที่โลกต้องจับตามองเธอเป็นคนต่อไป จากการแสดงเป็นตัวเดินเรื่องในหนังที่ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมขายดีติดอันดับอย่าง Divergent 

 

ความคล้ายคลึงของนิยายทั้งสองเล่มนี้อาจจะเหมือนกันตรงที่ว่ามันพูดถึงโลกอนาคตที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก มวลมนุษย์ชาติต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดเพียงเพราะสงครามครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นทำให้มนุษย์ต้องแบ่งแยกเผ่าพันธุ์ของตนเองไปตามความถนัด ซึ่งตัวนวนิยายของ เวโรนิก้า รอท ได้ขยายความอย่างชัดเจนถึงกลุ่มคน 5 ประเภทอันประกอบไปด้วย Abnegation กลุ่มผู้ปกครอง Dauntless กลุ่มผู้กล้า เต็มไปด้วนคนบ้าบิ่น ที่เป็นดั่งทหารและตำรวจ Erudite กลุ่มทรงปัญญา นับถือความรู้เป็นสำคัญ Candor กลุ่มผู้คุมกฎ ยึดมั่นในความซื่อสัตย์และ Amity กลุ่มรักสันติ พวกปลูกพืชผัก และเมื่อบรรดาเด็กวัยรุ่นที่มีอายุครบ 16 ปี บริบรูณ์พวกเขาจะต้องเข้ารับการทดสอบเพื่อหา "ตัวตน" ที่แท้จริงของตัวเอง 

 

 

เบียทริซ ไพร์เออร์ หรือ ทริซ (เชลลีน วู๊ดลีย์) เธอเข้ารับการทดสอบและปรากฏว่าตัวเธอเองนั้นอยู่ในกลุ่มไดเวอร์เจนท์หรือไม่สามารถระบุกลุ่มที่แท้จริงได้ เหตุการณ์นี้ทำให้เธอต้องตัดสินใจเลือกกลุ่มที่เธออยากจะไปสังกัดด้วย ท้ายที่สุดเธอก็เลือกจะไปอยู่กับ Dauntless กลุ่มผู้กล้า เพราะเธออยากจะเข้มแข็งและฝึกฝนตัวเองให้มีความกล้า อย่างไรก็ตาม "เจนีน" ผู้นำกลุ่มทรงปัญญา (เคต  วินสเลต) กลับมองว่าไดเวอร์เจนท์เป็นภัยคุกคามต่อระบบที่วางเอาไว้ ประกอบกับแผนการร้ายที่เธอต้องการจะให้กลุ่มผู้ทรงปัญญามาเป็นฝ่ายบริหารบ้านเมืองแทนกลุ่ม Amity ทำให้คนที่เป็นไดเวอร์เจนท์ตกอยู่ในอันตราย สิ่งที่ทริซทำได้ก็คือปกปิดสถานะของตัวเองให้รอดพ้นสายตาของคนอื่น

 

กว่าหนึ่งชั่วโมงแรกของ Divergent  เดินเรื่องตามสูตรสำเร็จหนังในตระกูลการค้นหาตัวตนของนางเอก เธอต้องเข้ารับการฝึกฝนมากมาย รู้จักความพ่ายแพ้และเพียรพยายามจนประสบความสำเร็จในเวลาถัดมา แม้เธอจะโดนเพื่อนของตนเหยียดหยามหรือกลั่นแกล้งก็ตาม ในที่สุดเธอก็เอาชนะใจตัวเองและครูฝึกมาได้ แต่น่าเสียดายอยู่ไม่น้อยที่บริบทหลายประการที่ถูกพูดถึงในหนังสือกลับไม่ได้รับการใส่ใจเท่าที่ควรเมื่อถูกดัดแปลงมาเป็นภาพยนตร์ จริงอยู่เราอาจจะได้เห็นการเติบโตของทริซ แต่ผู้ชม(ที่ไม่ได้อ่านนิยายมาก่อน) กลับมองไม่เห็นองค์รวมของสภาพสังคมใน Divergent ว่ามีทิศทางอย่างไร การบริหารบ้างเมืองเป็นเช่นไร และเกิดปัญหาอะไรกับระบบที่ทำให้กลุ่ม Erudite ต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติระบอบดังกล่าว 

 

 

และเมื่อตรงจุดนี้ถูกละเลยไปไคลแมกซ์ของเรื่องที่กลุ่ม Erudite รวมไพร่พลของ Dauntless เพื่อไปกำจัดคนในกลุ่ม Amity จึงกลายเป็นความเบาโหวงที่ไม่น่าเชื่อถือและไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้คนดูเข้าใจในการกระทำของเจนีนได้เลย ว่าเธอทำไปเพียงเพราะกระหายอำนาจหรือว่าต้องการเปลี่ยนแปลงระบบให้ดียิ่งขึ้นไป การทอดทิ้งหัวใจของเรื่องจากการดัดแปลงนิยายมาเป็นหนังของ Divergent จึงพร่องไปในแง่ของเหตุผลรองรับเหตุการณ์ในภาพรวม แต่ในขณะเดียวกันวิธีการเล่าเรื่องและโปรดักชั่นของงานสร้างภาพยนตร์ ก็ทำออกมาได้น่าสนใจ ดูได้เพลินๆไม่ติดใจอะไร อย่างน้อยก็ถือว่าน่าพอใจมากกว่าหนังอย่าง Beautiful Creature 

 

ข้อดีอีกประการหนึ่งที่ช่วยทำให้หนังมีความน่าสนใจก็คือการแสดงของน้องเชอลีน วูดเลย์ พลังทางการแสดงของเธอเรียกได้ว่าทุกครั้งที่ปรากฏตัว เราไม่อาจจะละสายตาไปจากเธอได้เลย ในฉากแอ็คชั่นหรือแม้กระทั่งฉากดราม่า เธอก็ "เอาอยู่" ทั้งสีหน้าและแววตา 

 

 

หลังจากที่หนังเปิดตัวในอเมริกาไปได้อย่างงดงาม (สำหรับหนังแนวนี้) อย่างน้อยคนกลุ่มหนึ่งที่คาดหวังภาคต่อ ก็น่าจะพอใจชื้นได้บ้างว่าโอกาสที่จะมีการสร้าง Divergent 2 หรือตามชื่อหนังสือเล่มสอง Insurgent นั้นสตูดิโอได้กำหนดวันเข้าฉายเอาไว้เรียบร้อยแล้ว นั่นก็คือวันที่ 20 มีนาคม ปี 2015 

 

ยกให้ 3 คะแนนจาก 5 คะแนน

@พริตตี้ปลาสลิด 

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ ของ วิจารณ์หนัง Divergent

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook