วิจารณ์หนัง Maleficent

วิจารณ์หนัง Maleficent

วิจารณ์หนัง Maleficent
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

วิจารณ์ Maleficent


Maleficent เป็นการหยิบยกตัวละครในการ์ตูนระดับตำนานของวอลต์ ดิสนีย์ที่ขึ้นแท่นแอนิเมชั่นคลาสสิคตลอดกาลไปแล้วเรียบร้อยอย่าง Sleeping Beauty เอามาคิดใหม่ เล่าใหม่ เพื่อเสริมเพิ่มเติมประเด็นให้กับตัวละครวายร้ายอย่างมาเลฟิเซนต์ว่าเพราเหตุใดเธอจึงกลายเป็น "วายร้าย" ที่หมายจะเอาชีวิตเจ้าหญิงออโรร่า เพียงเพราะเธอไม่ได้รับเชิญมาร่วมงานในวันพระราชสมภพเท่านั้นน่ะหรือ? 

จะว่าไปแล้วผลงานต้นฉบับอย่าง Sleeping Beauty นั้นก็เป็นผลงานที่ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมงานเขียนจากหลายหลากเวอร์ชั่น ซึ่งได้มาจากนิทานของชาวอิตาลีเรื่อง Sun, Moom&Talia แต่ที่น่าจะมีอิทธิพลสูงสุดก็คือเวอร์ชั่นของชาร์ล เปอร์โรต์เรื่อง La Belle au Bois Dormant หรือ The Beauty sleeping in the wood และมีของเวอร์ชั่นพี่น้องกริมม์เรื่อง Little Briar Rose ซึ่งในแต่ละเวอร์ชั่นก็มีความหม่นมืดและเต็มไปด้วยความรุนแรง แต่แน่นอนเมื่อมันถูกดัดแปลงให้การเป็นการ์ตูนสำหรับคนทุกเพศทุกวัยแล้ววอลต์ ดิสนีย์จึงพาสเจอร์ไรซ์ทุกอย่างให้ขาวสะอาดแบ่งสีชัดเจนคือฝ่ายสว่างและฝ่ายมืด

 

 

แน่นอนว่าการเบ่งเฉดสีให้ชัดเจนเช่นนี้ย่อยง่ายดายต่อการทำความเข้าใจและโน้มน้าวให้ผู้ชมเข้าข้างแต่ตัวละครของฝ่ายเจ้าหญิงออโรร่าที่เปรียบเสมือนผู้ "ถูกกระทำ" จากการโดนสาปให้โดนเข็มปั่นด้ายแทงนิ้วจนหลับไหลไปชั่วนิรันดร์ การไถ่ถอนคำสาปจะสัมฤทธิ์ผลก็ต่อเมื่อได้รับจุมพิตจากรักแท้เท่านั้น ซึ่งในตอนจบของ Sleeping Beauty วายร้ายอย่างมาเลฟิเซนต์ก็ถูกเจ้าชายฟิลลิปส์กำราบ เธอจากดาบกายสิทธิ์และสามารถเข้าไปจุมพิตออโรร่าที่นอนหลับใหลอยู่ในปราสาทก่อนจะครองรักกันอย่างมีความสุขตลอดกาล

 

 

ทว่า Maleficent กลับเปิดเรื่องมาด้วยการบอกเล่าถึงเทพนิยายเจ้าหญิงนิทราว่า "เรื่องราวที่คุณเคยฟังมานั้นอาจจะไม่ใช่อย่างที่คิด" ก่อนที่เราจะไปรู้จักมาเลฟิเซนต์ นางฟ้าแห่งผืนป่าซึ่งหน้าที่ของเธอคือการพิทักษ์ดูแลสรรพชีวิตในอาณาจักรมัวร์อันกว้างใหญ่ และแล้ววันหนึ่งเธอก็ได้พบเจอกับเด็กชายที่ชื่อว่าสเตฟาน ลูกชายชาวนาที่ใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่งเขาจะได้เข้าไปใช้ชีวิตในรั้วในวัง มาเลฟิเซนต์สนิทกับสเตฟานและเธอก็ตกหลุมรักเขาอย่างหมดใจ

วันเวลาผันผ่านไป มาเลฟิเซนต์(แองเจลิน่า โจลี่) เติบโตเป็นนางฟ้าสมบรูณ์แบบ ระหว่างที่ป่ามัวร์กำลังจะถูกรุกรานจากการนำทัพขอพระราชาเฮนรี่ (เคนเนธ แครนแฮม) เพียงเพราะเขาต้องการกอบโกยสมบัติในป่านี้ทำให้เธอต่อสู้กับเขาจนฝ่ายมนุษย์ต้องล่าถอยกลับไป พระราชาเฮนรี่ทรงประชวรอย่างหนักเขาเคียดแค้นและป่าวประกาศว่าหากใครฆ่ามาเลฟิเซนต์ได้ บัลลังก์นี้จะกลายเป็นของผู้นั้น และเมื่อข้าราชบริพารอย่าง สเตฟาน(ชาร์ลโต้ ค็อฟลีย์) ได้ยินเช่นนั้นเขาจึงวางแผนเข้าป่าไปหลอกล่อมาเลฟิเซนต์และแอบตัดปีกของเธอมายามที่เธอหลับไป 

 

 

อันที่จริงแล้วในฉาก "ตัดปีก" ของมาเลฟิเซนต์สามารถเปรียบเปรยได้เทียบเคียงกับการที่ผู้หญิงคนหนึ่งถูกล่วงละเมิดทางเพศเลยทีเดียว เพราะหลังจากที่มาเลฟิเซนต์ได้สติกลับคืนมา เธอค้นพบว่าปีกที่หลังของเธอหายไป เธอกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและรู้สึกเจ็บใจที่คนซึ่งเธอรักหมดหัวใจ เลือกจะใช้ความไว้วางใจของเธอเป็นเครื่องมือในการก้าวไปสู่จุดหมายโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด และจุดแตกหักตรงนี้เองที่ทำให้ "ผู้หญิง" คนหนึ่งผันตัวเองจากคนที่จิตใจดีงามให้กลายเป็นคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นและมุ่งร้ายกับคนที่เธอเคยรักที่สุด 

เหตุการณ์ผ่านไปจนกระทั่งวันหนึ่งมาเลฟิเซนต์ได้ข่าวจากการบินสำรวจของอีกาคู่ใจอย่างเดีย วัล(แซม ไรลีย์) ว่าพระราชาสเตฟานได้จัดพิธีเฉลิมฉลองการพระราชสมภพของเจ้าหญิงออโรร่า มาเลฟิเซนต์ที่ไม่ได้รับเชิญจึงสาปให้เธอจะต้องโดนเข็มปั่นด้ายแทงนิ้วแล้วหลับใหลไปตลอดกาล และค้นสาปนี้จะคงอยู่ตลอดไปหากออโรร่าไม่ได้รับจุมพิตจากรักแท้ 

เหตุการณ์ต่อจากนี้ดำเนินไปและคล้ายคลึงกับเรื่องราวในเวอร์ชั่นการ์ตูน เพียงแต่ความเป็นจริงแล้วช่วงเวลาที่ ออโรร่า(แอลล์ แฟนนิ่ง) เติบโตนั้น ภูติดอกไม้ทั้งสามที่ถูกไหว้วานจากพระราชาสเตฟานนั้นกลับเลี้ยงดูเด็กคนนี้ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย ร้อนถึงมาเลฟิเซนต์ที่เธอรู้สึกว่าถ้าปล่อยไว้เช่นนี้ออโรร่าคงต้องตายก่อนอายุ 16 เป็นแน่แท้ มาเลฟิเซนต์จึงคอยดูแลเด็กที่เธอเรียกว่า "เด็กอัปลักษณ์" อยู่ไม่ห่าง




ยิ่งนานวันความผูกผันก็ก่อตัวขึ้นไม่รู้ตัว กระทั่งวันหนึ่งออโรร่าก็เอ่ยขึ้นกับมาเลฟิเซนต์ว่าเมื่อเธอมีอายุครบ 16 ปีเมื่อไหร่ เธออยากจะมาอยู่ในป่ามัวร์แห่งนี้กับมาเลฟิเซนต์ในการช่วยปกป้องผืนป่า เมื่อมาเลฟิเซนต์ได้ยินเช่นนั้นเธอจึงพยายามจะถอนคำสาปของตัวเอง แต่แล้วทุกอย่างก็สายเกินไปเมื่อออโรร่ารู้ความจริงและเดินทางกลับไปหาพระราชาสเตฟานที่ปราสาท ในคำคืนนั้นเองคำสาปของมาเลฟิเซนต์ก็สัมฤทธิ์ผล ออโรร่าถูกเข็มปั่นด้ายแทงและกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา

แผนการของมาเลฟิเซนต์ก็คือการค้นหาตัว เจ้าชายฟิลลิปส์(เบรนตัน ทเวธส์) ความหวังที่เธอเชื่อว่าเขาเป็น "รักแท้" ของออโรร่า แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป 

นอกจาก Maleficent จะพยายามพูดเรื่องราวอีกด้านของ "นางร้าย" เพียงแต่ว่าเรากลับรู้สึกว่าด้านสว่างของมาเลฟิเซนต์นั้น "สว่าง" จนเกินไป ตัวละครนี้ถูกกระทำย่ำยีจากคนๆหนึ่งอย่างแสนสาหัส ดังนั้นมาเลฟิเซนต์มีสิทธิที่จะโกรธและเกลียดรากเหง้าของสเตฟาน เพียงแต่ว่าการพะยี่ห้อดิสนีย์แล้วทุกอย่างในเรื่องก็ยังคงออกมาขาวบริสุทธิ์ผุดผ่องจนเรามองไม่เห็นพื้นที่สีเทาของตัวละครสักเท่าไหร่ 

พระราชาสเตฟานกลายเป็นคาแรกเตอร์ตัวร้ายที่แบนราบกระหายอำนาจจนไม่สนใจสิ่งอื่นใด ซึ่งจุดสะท้อนของตัวละครนี้ก็นำไปสู่แนวคิดแบบใหม่อีกเช่นกัน เมื่อในที่สุดแล้วถ้าหากออโรร่าจะเลือกไปใช้ชีวิตใหม่ คำว่า "เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ" ก็ดูไร้ค่าไปในทันที เมื่อเธอเลือกจะตัดรอนความสัมพันธ์ได้ทันทีและเชื่อใจคนที่เธอเติบโตมาด้วยมากกว่า 

 

 

และถึงแม้ว่าหนังจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ทุกคนคาดเดาได้ และพบว่า "รักแท้" ก็ไม่ได้จำเป็นจะต้องเป็นความรักระหว่างหนุ่มสาวเสมอไป เพียงแต่วิธีการเล่าเรื่องเช่นนี้ Frozen ได้ตัดหน้าและเล่าประเด็นดังกล่าวได้ลึกซึ้งและกินใจกว่า Maleficent ไปหลายขุม

ทั้งหมดทั้งมวลด้วยความที่ผู้กำกับอย่างโรเบิร์ต สตรอมเบิร์กนั้นมีชั่วโมงบินในการทำงานสายสเปเชียลเอฟเฟคและงานศิลป์ของภาพยนตร์มาเยอะ แต่การทำหน้าที่เป็นผู้กำกับครั้งแรกของเขานั้น ยังเล่าเรื่องออกมาด้วยน้ำเสียงธรรมดาและเนิบนาบจนเกินไป จนหลายครั้งพล็อตเรื่องจึงน่าเบื่อเกินกว่าที่จะเป็น แม้ว่าฉากหลังจะตื่นตาตื่นใจแค่ไหนก็ตาม 

สิ่งที่สำคัญที่สุดใน Maleficent ก็คือการแสดงของแองเจลิน่า โจลี่ที่เราคงต้องบอกได้คำเดียวว่าถ้าขาดผู้หญิงคนนี้ไป หนังคงจะแย่กว่านี้ไปอีกหลายเท่าตัว ทุกฉากทุกตอนที่เธอปรากฏตัวคือความดีงามของหนังเรื่องนี้ครับ

 

ยกให้ 3 คะแนนจาก 5 คะแนน

@พริตตี้ปลาสลิด 

 

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ ของ วิจารณ์หนัง Maleficent

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook