วิจารณ์หนัง อวสานหงสา บทสรุปสัจธรรมแห่งชีวิตที่แสนพิรี้พิไร

วิจารณ์หนัง อวสานหงสา บทสรุปสัจธรรมแห่งชีวิตที่แสนพิรี้พิไร

วิจารณ์หนัง อวสานหงสา บทสรุปสัจธรรมแห่งชีวิตที่แสนพิรี้พิไร
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ไม่ว่าใครก็ตามที่รอชมภาคจบของภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือในชื่อตอนว่า อวสานหงสา โดยพกพาเอาเหตุผลหลายๆ ข้อเข้าไปในโรงหนัง บางคนเป็นแฟนตัวจริงที่ติดตามความต่อเนื่องและรอลุ้นว่าภาพยนตร์มหากาพย์เรื่องนี้จะจบลงอย่างไร 

บางคนอาจเป็นแฟนคลับของผู้กำกับหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล (ท่านมุ้ย) ที่ให้สัญญากับตัวเองว่าจะดูหนังที่ท่านกำกับทุกเรื่อง และกลับบางคนเพียงเข้าไปรอลุ้นว่าแอ๊ฟ ทักษอร หรือในบทมณีจันทร์ตั้งครรภ์จะสวยสมคำร่ำลือหรือเปล่า เพราะเธอยอมทุ่มเทถ่ายภาพยนตร์ในขณะตั้งครรภ์แบบใกล้คลอดเต็มที

ไม่ว่าใครจะมีเหตุผลอะไรก็ตาม สิ่งที่ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ ภาคสุดท้ายนี้ส่งต่อให้กับผู้ชมได้อย่างชัดเจนคือการแฝงสัจธรรมแห่งชีวิตในหลายๆ เรื่องทั้ง “ทุกชีวิตย่อมดำเนินไปตามกรรม” รวมถึงการให้อภัยและไม่จองเวรต่อกันย่อมนำพาชีวิตไปสู่ความสงบสุข ซึ่งนับว่าเป็นบทสรุปที่ค่อยๆ สะสมเรื่องราวมาตั้งแต่ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ ในภาคแรกๆ

หากแต่ใครที่จดจำความประทับใจจากภาพยนตร์เรื่องนี้ในภาคต้นๆ และเห็นพ้องต้องกันว่าภาคหลังๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้กลับไม่ทำให้รู้สึกประทับใจสักเท่าไรนัก โดยเฉพาะเทคนิคทางด้าน CG ที่เห็นได้ชัดเจนว่ายังมีความบกพร่อง และเห็นข้อผิดพลาดอย่างชัดเจน ซึ่งส่งผลให้ผู้ชมมีอารมณ์คล้อยตามได้น้อยลง ซึ่งในภาคนี้เราก็ยังพบความบกพร่องในข้อนี้อยู่

อีกข้อหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นธรรมชาติของหนังเรื่องนี้เลยก็ว่าได้คือการเพิ่มเติมนักแสดงหน้าใหม่ๆ เข้ามามีบทบาทคนละเล็กคนละน้อย ซึ่งที่ผ่านมาก็มีทั้งนักแสดงมากฝีมือ รุ่นเก๋าที่มาช่วยเสริมให้หนังน่าดูและสนุกมากยิ่งขึ้น สำหรับในภาคนี้มีนักแสดงหน้าใหม่อย่างน้องปันปันเต็มฟ้า กฤษณายุธ ลูกสาวคนสวยของร็อคเกอร์สาวแหวน ธิติมา สุตสุนทร เธอเข้ามารับบทเป็นเม้ยมะนิก สำหรับในด้านการแสดงของเธออาจต้องรอเวลาฝึกฝนอีกสักพักถึงจะเข้าที่ แต่ด้วยลีลาตวัดชายผ้าในเรื่องก็พอจะทำให้เราเชื่อได้ว่าเธอเก่งยิมนาสติกจริงๆ

จากชื่อตอนอวสานหงสาทำให้ผู้ชมส่วนหนึ่งแอบหวังว่าจะได้เห็นฉากการทำสงครามที่ทำให้คนดูหัวใจฮึกเหิม แต่กลับต้องผิดหวังเพราะมีฉากสงครามในเรื่องเพียงสั้นๆ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะภาพยนตร์นั้นมีความยาวเพียง 100 นาที จึงต้องจัดสมดุลให้ลงตัวระหว่างฉากสร้างแรงฮึกเหิมกับฉากสั่งเสียก่อนสมเด็จพระนเรศวรสวรรคต ซึ่งในฉากสั่งเสียนี้เองที่ยื้ออารมณ์คนดูเป็นอย่างมาก เพราะแทนที่จะเศร้าและซึ้งไปกับบทบาทในฐานะกษัตริย์นักรบของสมเด็จพระนเรศวร แต่เมื่อเป็นฉากอารมณ์ที่กินเวลานาน จึงทำให้อารมณ์คนดูกลายเป็นรู้สึกเบื่อกับฉากดังกล่าว (ซึ่งท่านมุ้ยได้โพสแจ้งว่าในรอบฉายจริง ภาพยนตร์จะมีความยาวมากกว่าที่ฉายในรอบสื่อมวลชน)

แต่จะด้วยความบกพร่องใดๆ ก็ตามของภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ ก็ยังคงเป็นภาพยนตร์ไทยที่ยิ่งใหญ่และอยากให้คนไทยทุกคนหาโอกาสไปชม เพราะทุกครั้งที่เข้าชมไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ยังรู้สึกว่าเรายังรู้จักและลึกซึ้งกับประวัติศาสตร์ของบ้านเมืองเราไม่ดีพอ เพราะหากเราต้องการจะเดินไปข้างหน้า เราก็ควรจะรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ของชาติไทยให้ลึกซึ้ง เพื่อที่เราจะได้รู้รากเหง้าของตนเองอย่างแท้จริง

 

Text: Tomorrow  is Yesterday

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook