สปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาา

สปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาา

สปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาา
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

.

สปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาา

สปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาาสปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาา

        สปอยกันจนหมดไส้ หมดพุงกันไปเลยจ้าาา กับละครช่อง 3 ข้าบดินทร์ เมื่อได้ดูการรำอวยพรแล้ว ขวัญกำลังใจของทหารก็เพิ่มแบบทบทวีคูณ "พี่เหม"พระเอกจากละครเรื่องข้าบดินทร์ของเราก็ได้อาสามาเป็นหัวหน้าหมู่ทะลวงฟัน เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไปโปรดติดตามครับ ^^

เรื่องย่อละคร ข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 ประจำวันที่ 19 มิ.ย. 58 ทางช่อง 3

สปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาาสปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาา

        หลังจากรำอวยพรให้ทหารดูคืนนี้แล้ว รุ่งขึ้นที่หน้ากระโจมของลำดวนก็มีพวงมาลัยดอกลำดวนมาแขวนไว้เป็นปริศนา แต่หุ่นเชื่อว่าเป็นมาลัยที่ตั้งใจให้ลำดวนและที่พัตบองก็มีลำดวนอยู่ที่เดียวคือละแวกที่พักของควาญเท่านั้น

        ไม่เพียงมีพวงมาลัยดอกลำดวนเท่านั้นยังมีกระดาษเขียนคำกลอนอ่อนหวานแนบมากับพวงมาลัยด้วย ลำดวนอ่านแล้วเขินอายเอามาลัยแนบอกเข้ากระโจมไป เหมแอบดูอยู่ เห็นลำดวนเขินอายก็ยิ้มมั่นใจว่าลำดวนก็มีใจให้ตนเช่นกัน

สปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาาสปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาา

สิบกว่าวันผ่านไป...

        หลังจากนักองค์อิ่มแปรพักตร์ ทางฝ่ายญวนจึงมีกำลังมากขึ้น องเดดก แม่ทัพหน้าของทัพญวนย่ามใจ ยกพลบุกเข้ารบกับทัพไทยหลายครั้ง แต่กองทัพไทยก็สามารถต่อสู้อย่างเข้มแข็ง ทำให้ทัพญวนไม่สามารถรุกคืบหน้ามาได้แม้แต่น้อย ซึ่งกลับเป็นการสร้างความกดดันให้กับทัพญวนมากขึ้นเรื่อยๆ

        ในสถานการณ์เช่นนี้ หลวงสรอรรถนำลูกน้องบรรทุกปืนใส่ลังมาเต็มเกวียน หัวเราะสมใจนักกับการรบพุ่งที่เกิดขึ้น เรืองพูดอย่างสะใจว่า “ยิ่งพวกญวนกำลังแย่ก็ยิ่งขายอาวุธได้ราคา คุณหลวงช่างคิดอ่านได้ลึกซึ้งนัก”

สปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาาสปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาา

        “เช่นนั้น ข้าถึงได้แยกออกจากกองทัพของอ้ายพระยาปลัดอย่างไรเล่าวะ เราใช้ทัพพระยาปลัดพรางการขนปืน แต่ในเมื่อมันรบกันแล้ว เราก็ต้องรีบเดินทาง ในเมื่อเงินทองรออยู่ตรงหน้า จะมัวร่ำไรอยู่กับอ้ายพระยาปลัดได้อย่างไร ฮ่ะๆๆ”

        เย็นวันนี้ เหมมอบพวงมาลัยดอกลำดวนให้เจ้าตัวด้วยมือ ลำดวนรับไปอย่างเขินอาย ครู่หนึ่งจึงขรึมลงบอกเหมว่า

        “ต่อไป คุณพี่เหมอย่าเอามาให้ลำดวนอีกเลยนะจ๊ะ” เหมหน้าเสียถามว่าทำไมเล่า “ที่ลำดวนไม่รับเพราะเกรงจะเคยตัว ต้องร้องขอพวงมาลัยสดจากคุณพี่ทุกวันจนไม่อยากมีพวงมาลัยโรยเก็บไว้น่ะจ้ะ”

        “เจ้ารู้ว่าพี่คงไม่อาจเฝ้าร้อยมาลัยลำดวนพวงใหม่ให้เจ้าได้ทุกวัน เลยไม่อยากรับรู้ถึงวันที่ต้องรอคนมาเปลี่ยนมาลัยใหม่ล่ะสิ”

        “เจ้าค่ะ” เสียงตอบนั้นเศร้านัก

        “อย่าคิดเช่นนั้นเลย เราจากกันอีกแล้วเป็นเช่นใด จากเป็นมิใช่จากตาย ก็เหมือนที่เราเคยจากกันมา เจ้าอย่าได้อาลัยไปเลย เวลานี้พี่ยังอยู่ใกล้เจ้าได้ก็มิสู้รับพวงมาลัยนี้ไปทุกวัน จนกว่าจะถึงวันที่เราจากไปจริงไม่ดีกว่าหรือ”

        “คุณพี่เหมอย่าพูดอย่างนี้เลยเจ้าค่ะ ลำดวนใจคอไม่ดีเลย”

        เหมเอื้อมจะจับมือลำดวนแต่ก็ชะงักกลัวลำดวนจะเสียหายจึงเปลี่ยนเป็นจับมาลัยพวงเดียวกันแทน เอ่ยปลอบว่า

        “เจ้าอย่ากลัวไปเลย ยิ่งไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน การอยู่ด้วยกันของเรายิ่งมีคุณค่า พี่กับเจ้าจึงควรทะนุถนอมมันเอาไว้ให้ดีที่สุด แต่มิใช่หวาดกลัวว่าจะเสียมันไปมิใช่รึ”

        ลำดวนยิ้มรับบางๆ ทั้งสองจับมาลัยพวงเดียวกัน ใบหน้าห่างกันแค่ฝ่ามือกั้น ต่างส่งผ่านความรู้สึกถึงกันจากดวงตาโดยมิได้แตะเนื้อต้องตัวเลยแม้แต่น้อย...

        แต่แล้วลำดวนก็ต้องเศร้า เมื่อคุณปิ่นเข้ามาดูมาลัยดอกลำดวนที่เหี่ยวเฉาแล้วแต่ลำดวนก็ยังเก็บไว้อย่างหวงแหน ชมว่าเหมร้อยมาลัยเก่งจนหญิงชาววังบางคนยังร้อยสู้ไม่ได้ แล้วคุณปิ่นก็พูดเหมือนไม่คิดอะไรว่า

        “แม่รู้ว่าเจ้าชื่นชมนับถือคุณเหมมาแต่เล็กแต่น้อย แต่เจ้าไม่ควรลืมว่าเจ้าตอนนี้ไม่ใช่เด็กเล็กๆ เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว” ลำดวนบอกว่าตนไม่เคยลืมและไม่เคยทำสิ่งใดให้เสื่อมเสีย “ข้อนั้นแม่เชื่อ แต่แค่นั้นยังไม่พอดอก เจ้าต้องคิดถึงศักดิ์แห่งตระกูลของเจ้าไว้ให้มากด้วย”

        ลำดวนนิ่งไปอย่างสัมผัสได้ถึงความหมายในคำพูดนั้น คุณปิ่นก็ยังพูดอย่างยิ้มแย้มต่อไปว่า

สปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาาสปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาา

        “ถึงคุณเหมจะพ้นจากตะพุ่นมาเป็นทหารแล้ว แต่ก็ยังห่างจากเจ้าอยู่มากนัก พูดตามตรงก็คือเจ้าไม่ควรให้ความสนิทชิดเชื้อมากเกินไปนัก” ลำดวนติงว่าแม่ท่านก็เคยให้ความเมตตาพี่เหมมิใช่หรือ “นั่นเพราะคุณเหมคือบุตรชายของพระยาบริรักษ์กับคุณหญิงชม ไม่ใช่อดีตตะพุ่นที่มีแต่ตัวเหมือนตอนนี้”

        “แม่ท่าน...” ลำดวนครางออกมาแผ่วเบา คุณปิ่นตัดบททันทีว่า

        “เจ้าจะหาว่าแม่ใจดำเห็นแก่ตัวก็ได้ แต่เมื่อใดที่เจ้ามีลูก เจ้าก็จะเข้าใจแม่แองว่า หัวอกของคนเป็นแม่ที่มีลูกสาวนั้น ไม่มีกระไรจะขื่นขมไปกว่าต้องทนเห็นลูกสาวมีคู่ต่ำศักดิ์กว่าตัวเอง แล้วฉุดลูกสาวของตนลงสู่ที่ต่ำไปด้วยดอก”

        คุณปิ่นวางมาลัยลำดวนไว้ที่เดิมแล้วเดินออกไป ลำดวนเครียดทันที เมื่อแม่ออกมาขวางเสียเองเช่นนี้ ตนจะทำอย่างไร

        คืนนี้ ขณะเหมกำลังจะเข้ากระโจม สมิงสอดน้อยเรียกไว้ เอาจดหมายลับจากพวกที่จะขายอาวุธปืนให้ญวนให้เหมอ่าน แล้วชวนเหมไปดูหน้าพวกทรยศและดักจับพวกมันมาลงโทษด้วยกัน

        “ไปสิพี่ ฉันอยากรู้นักว่าใจคอพวกมันทำด้วยกระไร ถึงได้ขายปืนให้ศัตรูมาเข่นฆ่าคนไทยด้วยกันได้ลงคอ” เหมสีหน้าเจ็บแค้น มุ่งมั่น

สปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาาสปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาา

        เช้าวันรุ่งขึ้น สมิงสอดน้อย เหม และหมื่นเผด็จ แต่งตัวเป็นทหารญวนไปรอพวกค้าอาวุธอยู่นาน จนทหารวิ่งมารายงานว่าพวกมันมาแล้ว สมิงสอดน้อยสั่งทุกคนให้เตรียมพร้อมอย่าพูดอะไรให้เป็นพิรุธเด็ดขาด

        เมื่อพวกที่จะขายอาวุธให้ญวนขนอาวุธออกมา สมิงสอดน้อยและเหมซึ่งรู้จักหลวงสรอรรถเป็นอย่างดีจึงรู้ว่าผู้ที่ทรยศต่อแผ่นดินขายอาวุธให้ญวนคือหลวงสรอรรถนั่นเอง ดังนั้นเมื่อพวกหลวงสรอรรถเรียกให้ไปดูอาวุธ สมิงสอดน้อยกับเหมจึงไม่ไปหากยืนดูอยู่ห่างๆ

        เรืองนายโจรผู้มีประสบการณ์โชกโชนสงสัยว่าทำไมสองคนนั้นไม่มาดูปืนจึงเดินเข้าใกล้ ทันทีที่ต่างรู้ว่าใครเป็นใครต่างก็ชักดาบออกมาฟาดฟันกัน หลวงสรอรรถรู้ว่าเสียทีแล้ว อาศัยจังหวะนั้นหนีไป เหมเห็นดังนั้นวิ่งตามไปทันที เมื่อไล่จนเผชิญหน้ากัน หลวงสรอรรถกลัวจนตัวสั่น เหมจ้องหน้าพูดอย่างอาฆาตแค้นว่า

สปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาาสปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาา

        “มึงฆ่ามิสเตอร์เจเมสันเพื่อใส่ร้ายเจ้าคุณพ่อกู ทำให้กูต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ทำให้เจ้าคุณพ่อกูต้องมีมลทินตรอมใจจนตาย วันนี้กูขอเอาเลือดมึงมาเซ่นดวงวิญญาณ”

        ทันใดนั้นเรืองมาข้างหลังเหมเงื้อดาบหมายบั่นคอให้ขาดในดาบเดียว เหมรู้สึกตัวหลบวูบได้หวุดหวิด แล้วตั้งท่าเพลงดาบอาทมาตทันที เรืองจำเหมได้ หลวงสรอรรถเร่งให้รีบฆ่าเหมเสีย ขณะนั้นเองสมิงสอดน้อยไล่ตามเรืองมาทัน เรืองหัวเราะย่ามใจว่าวันนี้ตนโชคดีได้เจอดาบอาทมาตฝ่ายเหนือสองคนพร้อมกัน หันบอกหลวงสรอรรถให้รีบหนีไป ตัวเองหันมาต่อสู้กับเหมและสมิงสอดน้อย แม้จะสองต่อหนึ่งแต่ฝีมือดาบอาทมาตมันร้ายกาจจนสมิงสอดน้อยกับเหมทำอะไรมันไม่ได้มากนัก

สปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาาสปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาา

        ในที่สุดเรืองใช้ไม้ตายจนสมิงสอดน้อยกับเหมต้องถอย มันฉวยโอกาสนั้นวิ่งหนีไป เหมเจ็บใจนักที่ไม่ได้ล้างแค้นแทนพ่อ

        กลับมาถึงค่ายทหาร เจ้าพระยาบดินทร์เดชาฟังสมิงสอดน้อยกับเหมเล่าถึงฝีมือฉกาจฉกรรจ์ในวิชาดาบอาทมาตของเรืองแล้วถามเครียดว่ามันร้ายกาจขนาดนั้นเชียวหรือ

        หมื่นเผด็จรายงานว่ายังดีที่เรายึดปืนทั้งหมดและจับตัวลูกน้องมันไว้ได้ หาไม่แล้วคงมีพวกเราต้องบาดเจ็บล้มตายอีกมากเพราะปืนพวกนี้

        เหมแค้นใจที่ยังไม่อาจล้างมลทินให้เจ้าคุณพ่อได้ เจ้าพระยาบดินทร์เดชาพูดให้กำลังใจว่าไม่ต้องรีบร้อนแม้ยังไม่ได้ล้างมลทินเจ้าคุณบริรักษ์แต่หลวงสรอรรถก็รับกรรมของการทรยศบ้านเมืองไปแล้ว ชาตินี้มันคงอยู่เป็นปกติสุขไม่ได้อีกแล้ว

        “จริงขอรับ เพลานี้ชาติบ้านเมืองต้องมาก่อน ไว้รอเสร็จศึกแล้วค่อยหาทางล้างมลทินให้เจ้าคุณพ่อก็ได้ขอรับ”

        “คิดถูกแล้วเหม” เสียงคุณชายช่วงซึ่งบัดนี้คือหลวงนายสิทธิ์ เอ่ยขึ้นก่อนเดินเข้ามา เจ้าพระยาบดินทร์เดชาถามว่าคุณหลวงนายสิทธิ์มาถึงนี่คงมีสาส์นจากท่านเจ้าพระยาพระคลังมาบอกกระมัง

        “ขอรับ เพลานี้กองทัพเรือของเจ้าคุณพ่อใกล้จะถึงเมืองโจฎกแล้วขอรับ”

        สถานการณ์เวลานี้คือ การรบระหว่างสยามกับญวนที่ตรึงกำลังกันอยู่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เมื่อเจ้าพระยาพระคลังยกทัพเรือไปโจมตีเมืองโจฎกซึ่งเป็นเมืองสำคัญก่อนถึงเมืองไซ่ง่อน องเตรืองกุนกลัวว่า

        เมืองโจฎกจะเป็นอันตราย จึงให้องเดดกยกทัพส่วนหนึ่งจากเมืองโปริสาทไปช่วยเมืองโจฎก ทำให้เมืองโปริสาทอ่อนแอลง และเป็นโอกาสของเจ้าพระยาบดินทร์เดชาในการเข้ายึดเมืองโปริสาท

        ที่ค่ายทหารในเมืองพัตบอง บุษย์เข้ากอดขาเหมร้องไห้เหมือนเด็กดีใจที่ได้เจอเหมอีกครั้ง เหมหันไปไหว้ขอบพระคุณคุณชายช่วงที่ช่วยบุษย์ไว้

        “มิต้องขอบใจดอก อ้ายบุษย์แม้จะเป็นคนขี้ขลาดแต่มีแรงกตัญญูนัก ควรที่ฉันจะช่วยเหลือแล้ว”

        บุษย์บอกเหมว่าตนเพิ่งได้รับเบาะแสสำคัญของลุงรี เสร็จศึกก็จะรีบไปตามหา ท่านเจ้าคุณก็จะได้พ้นมลทินเสียที เหมขอบใจบุษย์ชื่นชมว่าวิญญาณของเจ้าคุณพ่อคงดีใจที่บุษย์ทำเพื่อท่านถึงเพียงนี้ บุษย์บอกว่าลำพังตนคงทำไม่ได้ดอกถ้าไม่มีลำดวนช่วยเหลือ พูดอย่างสำนึกบุญคุณว่า “ถ้าไม่ได้คุณหนูลำดวนช่วยเอาไว้ กระผมคงตายไปเสียนานแล้ว”

        เหมแปลกใจที่ลำดวนไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เร่งบุษย์ให้เล่าว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร

        เวลาเดียวกันนั้น หุ่นท่องบทให้ลำดวนฟังขณะซ้อมบทด้วยกันอยู่หน้ากระโจม ท่องถึงบทตอนพระสังข์ถอดรูป หุ่นก็จำบทไม่ได้ ลำดวนท่องต่อให้อย่างขึ้นใจ เลยถูกหุ่นล้อว่าเพราะลำดวนมีพระสังข์ถอดรูปอยู่ใกล้ๆ ถึงจำบทได้แม่น ลำดวนเขินไล่ตีหุ่นหัวเราะกันร่าเริง

        คุณปิ่นยืนดูอยู่ด้วยความหนักใจ ที่แม้ตนจะปรามลำดวนแล้วแต่ก็ห้ามลำดวนไม่อยู่จริงๆ ได้แต่คิดเครียดอยู่คนเดียวจนขุนนาฏถามว่าเหตุใดแม่ปิ่นจึงกังวลเรื่องนี้นัก คุณปิ่นเกรงลำดวนจะต้องทุกข์กายในภายภาคหน้า ขุนนาฏถามว่า

        “ทหารใต้ร่มธงของท่านเจ้าพระยาบดินทร์เดชายังไม่ดีอีกรึ ตอนแม่ปิ่นรับรักฉัน ฉันมีแต่ตัวด้วยซ้ำ ไม่เห็นแม่ปิ่นจะรังเกียจรังงอนเลย” คุณปิ่นเขิน ขุนนาฏถามว่า “แม่ปิ่นจำไม่ได้รึว่าเรารักกันได้อย่างไร และตอนนั้นหากเจ้าคุณพ่อกับแม่ของแม่ปิ่นรังเกียจฉัน เราก็คงไม่ได้อยู่ด้วยกันมาจนถึงป่านฉะนี้ดอก แต่เพราะพวกท่านถือคติว่าปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่ เราจึงได้เป็นสุขมาจนถึงวันนี้ แล้วนี่แม่ปิ่นจะมากีดกันลูกกระนั้นรึ”

        คุณปิ่นกังวลอีกว่า เพราะเหมเป็นทหารตนก็ยิ่งหวั่นใจ เพราะนับแต่เกิดมา สิ่งที่ตนกลัวที่สุดคือสงคราม ตนไม่อยากเห็นเมียต้องเป็นม่าย ลูกต้องกำพร้าพ่อ เห็นขุนนาฏนิ่งคิดตาม คุณปิ่นเอ่ยถึงคนในครอบครัวว่าท่านขุนทำละคร ผัวทับทิมก็รับราชการทำบาญชี บัว ก็อยู่ในวัง ไม่มีกระไรที่ตนต้องหวาดกลัวแล้ว แต่เอ่ยถึงเหมว่า

        “หรือถ้าคุณเหมเป็นเหมือนแต่ก่อน รับราชการเก็บภาษี ฉันก็ไม่ว่ากระไร แต่ตอนนี้ เจ้าลำดวนจะเป็นม่ายขึ้นมาวันใดยังมิรู้เลย” ขุนนาฏฟังแล้วเข้าใจความรู้สึกของหัวอกแม่อย่างคุณปิ่น ส่วนคุณปิ่นก็เฝ้ากังวลไม่อยากให้ลำดวนใกล้ชิดกับเหมมากกว่านี้

        การศึกตึงเครียดขึ้น ทหารจากเมืองพัตบองแบ่งเป็นสองกอง กองหนึ่งบุกเข้าตีเมืองโปริสาท อีกกองเคลื่อนพลไปที่เมืองโจฎก เจ้าพระยาบดินทร์เดชาได้แบ่งทัพออกเป็นสองกอง กองหนึ่งยังประชิดเมืองโปริสาท อีกกองลอบไปสมทบกับทัพของเจ้าพระยาพระคลังเพื่อโจมตีเมืองโจฎก แต่ก่อนถึงเมืองโจฎก จำต้องเข้าตีค่ายที่คลองวามะนาวให้ได้ เสียก่อน ซึ่งถือว่าเป็นศึกสำคัญศึกหนึ่งในสงครามคราวนี้

สปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาาสปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาา

        7-8 วันผ่านไป... เช้าวันนี้ ทหารไทยอยู่พื้นที่ราบ ในขณะที่ทหารญวนสองทัพ ทัพแรกอยู่บนเนินดินสูง อีกทัพอยู่บนพื้นราบเป็นแนวป้องกันคอยปะทะไว้ให้ทัพไทยโจมตีลำบาก แต่เมื่อทหารไทยโห่ร้องบุกขึ้นไปก็ถูกทหารญวนในฐานที่มั่นที่ได้เปรียบยิงสกัดราวห่าฝน ทหารไทยบาดเจ็บล้มตายไปหลายคน เหม พระศรีสิทธิสงคราม ยืนบัญชาการรบอยู่ เหมเครียดเอ่ยกับพระศรีว่า

        “ไม่ได้การแล้วคุณพระ พวกมันอยู่ที่สูงกว่าเรายิงอย่างไรก็สู้มันไม่ได้ดอก”

        “บุกเข้าไป ประชิดมันได้เมื่อใด ปืนมันก็ทำกระไรไม่ได้แล้ว” พระศรีสิทธิสงครามตะโกน บรรดาทหารพากันโห่ร้องสู้ตาย ตะลุยเข้าปะทะกับทหารญวนที่พื้นราบ สู้กันอย่างดุเดือด ไม่นานทหารญวนก็เริ่มถอยร่นแตกพ่าย

        หมื่นเผด็จวิ่งมารายงานว่า แย่แล้วกองลาดตระเวนของเราเห็นพวกญวนขนดินปืนขึ้นเขาไป คาดว่ามันจะจุดดินปืนแล้วใส่เกวียนทิ้งลงมาระเบิดค่ายเสบียงของราที่ตีนเขาเป็นแน่

        “กระผมจะไปขวางพวกมันเองขอรับ” เหมรีบวิ่งออกไปทันที หมื่นเผด็จตามไปติดๆ

        เมื่อเหมตะลุยไปทหารญวนรีบเข็นเกวียนหนี เหมฟันทหารที่มาขัดขวางวิ่งตามเกวียนไป ทหารญวนเห็นจวนตัวจึงจุดสายชนวนทิ้งเกวียนลงจากเนินเขาทันที เหมวิ่งตามไม่ทันตัดสินใจพุ่งดาบไปขัดล้อเกวียน เกวียนก็ยังคงพุ่งลงเนินต่อไปแต่ช้าลง ทำให้เหมวิ่งไปทันตัดสินใจใช้มือเปล่าจับสายชนวนไว้ดับไฟได้สำเร็จ แม้เหมจะเจ็บปวดสาหัสจากการจับไฟแต่ก็โล่งใจที่ช่วยชีวิตทหารในค่ายไว้ได้หวุดหวิด

        พระศรีสิทธิสงครามเครียดหนักที่ทหารบาดเจ็บร่วมร้อยและตายสิบเจ็ดแต่ยังประชิดเนินมันไม่ได้ และครั้งนี้ถ้าเหมไม่ช่วยไว้คงบาดเจ็บล้มตายกันมากกว่านี้นัก หมื่นเผด็จเสนอให้ใช้ปืนใหญ่ แต่พระศรีติงว่าที่ดินตรงนั้นอ่อน ทานน้ำหนักปืนใหญ่ไม่ได้ดอก

        “กระผมมีวิธีแล้วขอรับ เราใช้ต้นกล้วยมัดรวมกันหลายชั้น แล้วเอาทูนไว้บนหัวต่างโล่ป้องกันกระสุนที่ยิงลงมา พอเข้าใกล้เนินดิน เราก็เอาปืนหามแล่นกับขานกไปตั้งยิงสู้กับมัน” พระศรีติงว่าต้นกล้วยจะกันกระสุนได้หรือ “ที่เรือนครูแหม่มชาววิลาศมีแขกผู้หนึ่งชื่อลุงรีเป็นคนสอนกระผมขอรับ แกเล่าว่าที่บ้านเมืองแกใช้วิธีนี้สู้กับปืนไฟได้ผลดีนัก” พระศรีสิทธิสงครามเห็นพ้องสั่งทหารให้ตัดต้นกล้วยมาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เมื่อถึงคราวบุก ทหารที่ถือโล่ต้นกล้วยเป็นทัพหน้าก็โห่ร้องตะลุยเข้าไปประชิดเนินดิน ตั้งขาเอาปืนวาง เอาต้นกล้วยกำบัง จนสถานการณ์เริ่มได้เปรียบ

สปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาาสปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาา

        “บุกขึ้นไป!” พระศรีสิทธิสงครามตะโกนก้อง พวกทหารโห่ร้องอย่างฮึกหาญบุกขึ้นไปบนเนินดินทันที หมื่นเผด็จอัศจรรย์ใจวิชาคงกระพันชาตรีของเหมว่าวิเศษจริงๆ เอ่ยขณะทำแผลที่มือให้เหม ขอให้เหมสอนให้บ้าง

        “ก็ทนได้ขั้นหนึ่งน่ะพี่หมื่น หากถูกรุมฟันรุมแทงหรือถูกยิงด้วยปืนก็ไม่ไหวดอก ขรัวปู่ที่สอนวิชาให้ข้าก็บอกแล้วว่า แม้จะคุ้มครองได้แต่ก็ต้องมีสติปัญญาประกอบ อย่าได้หลงงมงายว่าวิเศษเกินไป ถ้าพี่หมื่นชอบ ฉันจะสอนวิชานี้ให้ก็แล้วกัน”

        “จริงรึอ้ายเหม ขอบใจเอ็งนัก ขอบใจโว้ย ขอบใจ มาก” หมื่นเผด็จยิ้มเต็มหน้าดีใจสุดๆ ขณะนั้นเอง พระศรีสิทธิสงครามเข้ามาหาเหมถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง เหมบอกว่าไม่เป็นอะไร ถามว่าแล้วเหตุใดคุณพระถึงกลับมาเร็วนัก

        “ข้าเผาค่ายทิ้งแล้ว เราโจมตีค่ายเพื่อเปิดทางให้กองทัพของท่านเจ้าพระยาทั้งสองล้อมเมืองโจฎก ไม่จำเป็นต้องรักษาค่ายไว้” พลางตบบ่าเหมเบาๆ “อ้ายเหม...หากเอ็งไม่บาดเจ็บกระไรนัก ก็รีบกลับไปพัตบองแจ้งข่าวให้ท่านเจ้าคุณทราบ แลนำทัพช้างที่พัตบองมาที่นี่เถิด ข้ามั่นใจว่าการตีเมืองโจฎกคราวนี้ แพ้ชนะ ชี้ขาดกันที่ทัพช้างนี่ล่ะวะ” เหมหน้าขรึม เมื่อนึกรู้ว่าต่อแต่นี้ไป การศึกมีแต่จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว

        7–8 วันต่อมา...เหมแบกไหน้ำผึ้งมากำนัลแก่ขุนนาฏและคุณปิ่นโดยมีลำดวนนั่งอยู่ใกล้ๆ

        “ยามศึกสงคราม ของทุกอย่างล้วนฝืดเคือง กระผมจึงหาได้เพียงน้ำผึ้งพวกนี้มากำนัลแก่ท่านขุนกับคุณปิ่นเท่านั้นเองขอรับ”

        “แค่นี้ก็ดีมากแล้ว แต่ทีหน้าทีหลังอย่าลำบากเอามาให้ฉันเลย คุณเหมไปรบแล้วกลับมาอย่างปลอดภัย ฉันก็ดีใจแล้ว”

        “ของกำนัลเหล่านี้ กระผมอยากนำมาให้จริงๆ แลเป็นการไถ่โทษที่กระผมปิดบังตนอยู่นาน มิได้มา กราบไหว้ท่านขุนกับคุณปิ่นด้วยขอรับ”

        “ฉันไม่ถือดอกพ่อ” คุณปิ่นยิ้มบางๆ “แลตอนที่พ่อตกต่ำลง ฉันก็ไม่ได้ดีกับพ่อสักเท่าใด พ่อจะโกรธจะเคืองฉันก็หาแปลกกระไรไม่”

        ทุกคนหน้าเจื่อนกับคำพูดของคุณปิ่นไปหมด ขุนนาฏตัดบทให้พ้นจากบรรยากาศอึดอัดนั้น บอกเหมว่าเพิ่งเสร็จราชการมา ไปกินข้าวกินปลาพักผ่อนให้คลายเหน็ดเหนื่อยเสียก่อนเถิด แล้วบอกลำดวนให้ไปส่งเหม ลำดวนรับคำลุกขึ้น คุณปิ่นชักสีหน้าเรียกขุนนาฏอย่างไม่พอใจ ขุนนาฏเร่งลำดวนให้รีบไปเสีย เหมไหว้ลาทั้งสองแล้วเดินเลี่ยงไปกับลำดวน พอเหมคล้อยหลัง คุณปิ่นก็ต่อว่าขุนนาฏทันที

        “ไปให้ท้ายอย่างนี้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ ท่านขุนก็ทราบว่าฉันไม่ชอบคุณเหม” ขุนนาฏติงว่าถึงไม่ชอบก็ไม่ต้องสำแดงออกมาก็ได้ “ก็ฉันไม่ไว้ใจนี่เจ้าคะ พอดีพอร้ายที่คุณเหมมาทำดีกับเจ้าลำดวน อาจจะอาฆาตที่พวกเราเคยหมางเมินยามตกต่ำก็เป็นได้ ท่านขุนไม่ระแวงบ้างเลยหรือเจ้าคะ” ขุนนาฏส่ายหน้าระอาความมีอคติของคุณปิ่นลุกเดินเลี่ยงไป ก็ถูกคุณปิ่นเคืองอีกปรามว่าอย่ามาเดินหนีกันเช่นนี้แล้วตามไปอย่างไม่ยอมแพ้

        ลำดวนเดินออกไปส่งเหมเอ่ยอย่างไม่สบายใจ ขอโทษแทนแม่ท่านด้วย บ่นว่าไม่เข้าใจเลยเหตุใดแม่ท่านถึงพูดเช่นนั้น เหมยิ้มบางๆ บอกว่าจะกระไรเสียอีกเล่าคุณปิ่นหวงลูกสาวคนเล็กนั่นเอง แล้วพูดกรุ้มกริ่มว่า

        “มีลูกสาวงามเช่นนี้ เป็นพี่ พี่ก็ทั้งห่วงทั้งหวงเช่นกัน แต่พี่จะพิสูจน์ให้คุณปิ่นเห็นเองว่าพี่มาดีไม่เคยคิดร้ายกับท่านหรือลูกสาวของท่านเลย” ลำดวนยิ้มเขินอายเชื่อว่าสักวันแม่ท่านต้องเห็นใจจริงของคุณพี่ เหมมองลำดวนอย่างรักใคร่ เอื้อมจะจับมือลำดวน พริบตานั้น หมื่นวิชิตพรวดเข้ามากระชากแขนเหมและชกหน้าทันทีแต่เหมไวกว่าก้มหลบแล้วจับข้อมือหมื่นวิชิตบิดไพล่หลัง หมื่นวิชิตที่ทำกร่าง ปวดจนร้องลั่นตะโกน

        “ปล่อยกู ปล่อยกูสิวะ อ้ายตะพุ่นแขนลาย” เหมบิดแรงขึ้นอีก คราวนี้หมื่นวิชิตขู่ “มึงกล้าทำกับกูถึงเพียงนี้เชียวรึ กูเป็นหลานพระยานครนายก เป็นหัวหมื่น กูจะกราบเรียนท่านเจ้าคุณให้ตัดหัวมึงเสีย” เหมไม่พูด แต่บิดแขนแรงขึ้น...แรงขึ้น ลำดวนโมโหที่หมื่นวิชิตวางเขื่องขู่เหม เลยท้าและขู่คืนว่า

        “กล้าจริงทำเลย ฉันจะได้กราบเรียนท่านเจ้าคุณด้วยว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน ได้ยินมาว่าอาญาทัพของท่านเจ้าพระยาบดินทร์เดชาเด็ดขาดนัก คงจะได้เห็นกับตาก็คราวนี้แหละ” โดนลำดวนขู่คำโตกว่า หมื่นวิชิตก็เงียบ หน้าเสีย เหมเห็นว่าหมดฤทธิ์แล้วจึงปล่อยมือ พอหลุดไปได้ หมื่นวิชิตก็พาลเล่นงานลำดวน “ก็เพราะแม่ลำดวนน่ะแหละไม่รักศักดิ์ตัวเอง กี่ครั้งแล้วที่ฉันเห็นแม่ลำดวนพูดจาแสดงท่าทีประหนึ่งมีใจให้อ้ายควาญนี่”

        “เป็นควาญช้างแล้วไม่ดีอย่างไร ถ้าไม่ได้ควาญช้างจะมาถึงพัตบองนี่ได้รึ แลตอนนี้คุณพี่เหมก็เป็นทหารแล้ว ศักดิ์ตระกูลสาแหรกเป็นมาอย่างไร ผู้คนก็รู้กันทั่ว มิได้ด้อยกว่าหมื่นท่านเลย” หมื่นวิชิตยังตะแบงว่าเหมเคยต้องอาญาเป็นตะพุ่นหญ้าช้างมาก่อน “ท่านเจ้าพระยาก็เคยต้องอาญา ทั้งติดคุกทั้งถูกถอดยศก็หลายครา ถ้าถือเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ วันนี้จะได้เป็นถึงเจ้าพระยาบดินทร์เดชาสมุหนายกอย่างนั้นรึ” หมื่นวิชิตเถียงไม่ออก ลำดวนจ้องหน้าจริงจัง พูดตัดบัวไม่เหลือใยว่า

        “แลฉันเคยบอกหลายคราแล้วว่าฉันไม่ชอบหัวหมื่น ไม่เคยรักชอบ แลไม่มีวันจะรักชอบได้ แล้วหัวหมื่นอาศัยอะไรมาแสดงกิริยาหยาบช้าหึงหวงฉันเช่นนี้ ฉันพูดเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าหมื่นท่านไม่เข้าใจก็อย่ามาเห็นหน้ากันอีกเลย ไปกันเถิดเจ้าค่ะคุณพี่เหม” ลำดวนชวนเหมเดินผละไป หมื่นวิชิตขบกรามแน่นด้วยความแค้นใจ

        หมื่นวิชิตกลับค่ายระบายอารมณ์เที่ยวฟันต้นไม้ใบหญ้าดะไปหมด พวกทหารรู้ว่าหมื่นระบายอารมณ์เรื่องอะไร ก็ประจบสอพลอแนะวิธีแก้ลำอีกตามเคย บอกหมื่นวิชิตให้สั่งสอนเหมเสียให้เข็ดหลาบ หมื่นวิชิตถามว่าจะทำกระไรได้ในเมื่อเหมมีฝีไม้ลายมือเอาชนะพระศรีสิทธิสงครามได้ แล้วเราจะไปกระทำกระไรได้ ทหารแนะว่าตัวต่อตัวสู้ไม่ได้ แต่เราก็มีตั้งหลายคนจะกลัวกระไร หมื่นจ้องหน้าตะคอก

        “ก็กลัวหัวขาดสิวะ อาญาท่านเจ้าคุณบดินร์เดชาเด็ดขาดนัก ขนาดกินสุรายังไม่ได้ แล้วมึงจะกล้าฆ่าคนในกองทัพรึ”

        “จะต้องทำในกองทัพทำไมเล่าขอรับ มีศึกให้รบพุ่งแทบทุกวัน ถ้ามันตายระหว่างศึกขึ้นมาใครจะกล่าวโทษพี่หมื่นได้” หมื่นวิชิตคิดตามยิ้มเหี้ยมออกมาอย่างเห็นทางที่จะกำจัดเหม

        คืนนี้ขณะนั่งชมละครอยู่กับขุนนาฏและคุณปิ่น เจ้าพระยาบดินทร์เดชาเอ่ยขึ้นว่า

        "วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายที่จะได้ดูละครที่พัตบองแล้ว เพราะต้องยกทัพไปที่โจฎกเพื่อทำศึกสำคัญที่นั่น" เอ่ยขอบใจขุนนาฏและคุณปิ่นที่สู้ลำบากมาที่นี่ช่วยให้ทหารหย่อนใจได้มากทีเดียว คุณปิ่นถามว่า "แล้วท่านเจ้าคุณจะให้พวกตนรั้งอยู่ที่พัตบองหรือกลับพระนครเลย"

        “กระผมจะให้คนคุ้มครองพวกท่านขุนไปนครราชสีมาก่อนขอรับ เพราะยังมิแน่ว่าเราอาจจะต้องกลับมาตั้งทัพที่พัตบองอีก กราบเรียนตามตรงนะขอรับว่าพวกเราชอบละครปี่พาทย์ของคณะท่านขุนนัก เพราะท่านขุนกับคุณปิ่นโดยแท้ ศึกนี้พวกเราจึงมีกำลังใจรบพุ่งมากกว่าเดิม” ขุนนาฏและคุณปิ่นหันยิ้มให้กันอย่างปลื้มปีติที่ทุกคนชอบคณะละครของตน

        ลำดวนแต่งตัวเสร็จแล้ว ก่อนที่จะออกไปเล่นละคร เหมนำพวงมาลัยดอกลำดวนมามอบให้ บอกว่านี่คงเป็นพวงมาลัยพวงสุดท้ายที่ตนจะให้ลำดวนที่พัตบองแล้ว รุ่งสางเมื่อใดตนก็ต้องนำช้างไปสู้ศึกที่โจฎก บอกลำดวนที่ยืนหน้าเศร้าว่า

        “ส่วนเจ้ากับพ่อแม่ก็คงต้องกลับเช่นกัน มิรู้เลยว่าพี่จะให้พวงมาลัยเจ้าได้อีกเมื่อใด” ลำดวนติงว่าเหมกำลังจะออกศึกอย่าคิดเรื่องไม่สบายใจเลย เรามีวาสนาต่อกัน อย่างไรเสียก็ต้องได้พบกันอีก “แต่ถ้าเจ้ากลับไปอยู่อัมพวา ก็คงยากนักที่พี่จะได้เจอเจ้าอีก”

        “เพียงแต่ไม่ได้เห็นหน้ากัน มิใช่ว่าจะไม่คิดถึงกันไม่ใช่หรือเจ้าคะ” ลำดวนยิ้มให้เหมอย่างให้กำลังใจ เหมอึ้งคิดไม่ถึงว่าลำดวนจะพูดเช่นนี้ เอื้อมมือจะจับมือลำดวนบอกว่าดีใจที่ได้ยินคำพูดนี้จากปากลำดวนทำให้ตนแน่ใจว่าไม่ได้คิดไปเองคนเดียว เหมจ้องลำดวนที่เขินอายตรงหน้า เอ่ยอย่างสะกดใจว่า

สปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาาสปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาา

        “หากไม่คิดว่าจะทำให้เจ้ามัวหมอง พี่อยากจะกอดเจ้าให้สมกับความรักที่พี่มี”

        “อย่าเพิ่งพูดคำว่า ‘รัก’ ง่ายนักเลยเจ้าค่ะ ลำดวนกลัว”

        “กลัวว่าพี่จะเปลี่ยนใจรึ”เหมมองกรุ้มกริ่ม “ถ้าเช่นนั้น พี่จะพิสูจน์คำคำนี้ด้วยการกระทำของพี่เอง” เหมประคองมือลำดวนขึ้น ลำดวนก้มหน้าร้อนผ่าวไปทั้งตัว หลับตาเขินอาย ตัวเบาหวิวราวกับจะลอยได้ แต่เหมมิได้จูบมือหากกลับจูบมาลัยแทนเพื่อมิให้ลำดวนเสียหาย ลำดวนค่อยๆ ลืมตาเห็นสายตากรุ้มกริ่มของเหมก็ยิ่งเขินจนต้องรีบหลบสายตาเดินเลี่ยงไป เหมมองตาม ยิ้มเคลิ้มอย่างหลงใหล

        อินทร์มาที่วังเสด็จ บัวขอให้ช่วยปลอบโยนหม่อมท่านด้วย อินทร์บอกว่ามาคราวนี้นอกจากมาหาหม่อมแล้วยังจะมาคุยเรื่องของเรากับหม่อมท่านด้วย บัวดีใจเร่งให้รีบไป ป่านนี้หม่อมคงรอแย่แล้ว

        พออินทร์ผละไป เทียนก็เข้ามาบอกบัวว่า ท่านขุนนาฏกับคุณปิ่นพ่อกับแม่ของบัวจะได้กลับจากพัตบองแล้ว บัวดีใจบอกว่าหลายเดือนมานี่ตนเป็นห่วงพ่อแม่กับน้องนัก เสร็จศึกเสียทีตนดีใจเหลือเกิน แต่พอเทียนบอกว่าศึกยังไม่เสร็จแต่ทัพของเจ้าพระยาจะทำศึกสำคัญจึงให้คณะละครมาพักที่นครราชสีมาก่อน รอผลศึกแล้วจะมีคำสั่งอีกที ข่าวนี้ทำให้บัวหน้าเจื่อนอดไม่ได้ที่จะแอบเป็นห่วงเหมขึ้นมาเหมือนกัน

        เมื่ออินทร์คุยกับหม่อมดวงแขเสร็จลงมาบอกบัวว่าคดีความของเสด็จยังตอบยากแต่ตนกับหม่อมมั่นใจว่าโทษมาไม่ถึงลูกเมียเป็นแน่ อย่างร้ายที่สุดก็คือหม่อมกลับไปอยู่ลำปางกับตนตามที่คุยกันไว้

        บัวดีใจที่จะได้ไปอยู่ลำปางดังที่อินทร์เคยปรารภไว้ แต่อินทร์บอกว่าหม่อมเห็นว่าเรื่องที่บัวจะตามไปรับใช้นั้นไม่ควรเพราะบัวเป็นลูกชาติลูกตระกูล หม่อมท่านเกรงบัวจะเสื่อมเสีย จึงให้ตนหมั้นหมายบัวไว้ก่อนจึงจะยอมให้บัวไปด้วย

        “เรื่องเช่นนี้คุยกันสองคนไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ” บัวใจชื้นขึ้น

        “ฉันรู้ ฉะนั้นเสร็จศึกเมื่อใด ฉันจะขอให้หม่อมพูดคุยกับพ่อแม่ของแม่บัวเอง” บัวยิ้มเขินอาย แอบโล่งใจกับสิ่งที่ตนรอคอยและกำลังจะเป็นจริงแล้ว

        ใกล้จะเปิดศึกใหญ่แล้ว แต่ทัพหนุนของพระยาปลัดก็ยังมาไม่ถึง สมิงสอดน้อยเรียนท่านเจ้าพระยาว่า พระศรีสิทธิสงครามจัดคนไปเร่งหลายครั้งแล้ว อย่างไรเสียก็คงมาทันฤกษ์ตีเมืองโจฎกแน่

        หลวงสรอรรถตกอยู่ในภาวะต้องหลบซ่อนเมื่อมีหมายจับปิดประกาศไปทั่ว จะไปไหนมาไหนก็ต้องปิดบังอำพรางใบหน้า เรืองที่พาหลบซ่อนแนะหลวงสรอรรถว่าถ้าคุณหลวงไม่รู้จะทำประการใดก็ไปพึ่งพาจีนเชียงทองดีกว่า แต่หลวงสรอรรถประกาศว่าคนอย่างตนไม่มีวันอยู่ใต้ใครเด็ดขาด

สปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาาสปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาา

        หลวงสรอรรถคุยโวว่าทรัพย์สินที่ถูกยึดไปเป็นเพียงส่วนน้อย ตนยังมีที่ซ่อนอยู่อีกมากนัก เรืองเสนอให้เอาออกมาใช้เสียจะได้ไม่ต้องลำบากอย่างนี้ หลวงสรอรรถระแวงว่าเรืองจะแย่งสมบัติ โต้เถียงขัดแย้งกันจนเรืองประกาศว่าถ้าไม่ไว้ใจกันเยี่ยงนี้ก็เชิญคุณหลวงหาทางรอดเอาเองเถิด ว่าแล้วเดินหนีไปเลย หลวงสรอรรถมองตามอย่างแค้นใจ ด่าตามหลัง

        “นึกว่าคนอย่างข้า จะต้องง้องอนเอ็งรึ สันดานโจรเลี้ยงไม่เชื่อง”

        ฝ่ายพระยาปลัด เมื่อทหารที่สมิงสอดน้อยมาเร่งก็ไล่ให้กลับไปเสีย รับรองตนตามไปสมทบที่เมืองโจฎกทันแน่ ขอท่านเจ้าพระยาอย่าได้กังวลเลย

        แต่คืนนี้เอง พอพระยาปลัดเข้ากระโจมก็เจอหลวงสรอรรถนั่งกินอาหารแลผลไม้อยู่อย่างตะกรุมตะกรามเพราะหิวโซมาหลายวัน พระยาปลัดโมโหถามว่ามาที่นี่ทำไม เกิดถูกจับได้ตนมิต้องรับเคราะห์ไปด้วยรึ

        แต่พระยาปลัดเหมือนลูกไก่ในกำมือของหลวงสรอรรถที่กุมความลับทุกอย่างไว้ได้ หลวงสรอรรถขู่ว่าถ้าไม่ช่วยตน หากตนโดนจับคิดหรือว่าพระยาปลัดจะรอด โดยเฉพาะเหมรู้สิ้นแล้วว่าพ่อตัวเองตายเพราะเหตุใด คิดหรือว่าเหมจะไม่คิดล้างแค้น แล้วบอกให้พระยาปลัด คุ้มกันตนไปที่หนึ่งไม่ไกลนักเดินทางแค่สามวันก็ถึง

        หลวงสรอรรถขู่จนพระยาปลัดอึ้ง แล้วพูดอย่างถือไพ่เหนือกว่าว่า

สปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาาสปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาา

        “ช่วยดีฉันเถิดขอรับ เพราะก็เหมือนช่วยตัวท่านเจ้าคุณเอง ถ้าดีฉันถูกจับได้ไม่เป็นคุณแก่ท่านเจ้าคุณแน่นะขอรับ”

        พระยาปลัดขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจ ตกอยู่ในภาวะตกกระไดพลอยโจน

        โอกาสที่หมื่นวิชิตจะแก้แค้นเหมมาถึง เมื่อมีทัพญวนสองพันยกมาทางค่ายแล้วเจ้าพระยาบดินทร์เดชาให้เหมออกไปต้าน หมื่นวิชิตอาสาไปด้วยทันทีอ้างว่านับแต่มีศึกตนยังไม่เคยออกรบเลย ครั้งนี้ขอทำความดีความชอบด้วยเถิด

        “ถ้ามีใจเช่นนั้นก็ตามใจ” เจ้าพระยาบดินทร์เดชาอนุญาต หมื่นวิชิตดีใจมากแอบเหล่ไปทางเหมอย่างหมายมาด

        เมื่อเหมนำกำลังสองพันออกไปสู้ศึก จนพวกข้าศึกล่าถอย หมื่นวิชิตสั่งทหารให้ตามไป เหมสั่งห้าม

        “อย่า! เราแค่มาหยั่งเชิง แลหากผลีผลามตามไปอาจจะถูกซุ่มโจมตีได้”

        “ได้ทีแล้วไม่ตามซ้ำจะมาออกรบทำไมวะ ถ้าไม่มีใครตามพวกมันไปข้าไปคนเดียวก็ได้” หมื่นวิชิตวิ่งออกไปคนเดียว เหมเป็นห่วงจึงวิ่งตาม

        มันเป็นแผนลวงเหมไปติดกับดัก โดยหมื่นวิชิตวิ่งไปทำทีนอนตาย พอเหมวิ่งไปหาจึงติดกับดักทันที!!

        ลูกน้องหมื่นวิชิตในชุดทหารญวนที่ซุ่มอยู่วิ่งออกมาดู คาดว่าเหมยังไม่ตาย หมื่นวิชิตสั่งให้ฆ่าเลย แต่พอมันเดินไปจะพุ่งมีดลงไปฆ่าเหม ก็ถูกเหมพุ่งมีดขึ้นมาปักอกตายคาปากหลุม

        ที่แท้พอเหมตกลงไปก็เอามีดสั้นปักกับผนังหลุมไม่ให้ตัวเองตกถึงก้นหลุมจากนั้นค่อยๆปีนขึ้นมา พอเหมขึ้นมาได้พวกลูกน้องหมื่นวิชิตก็กรูกันไปรุม เหมดึงดาบของทหารที่ตายสู้กับพวกมันจนตายเกือบหมด หมื่นวิชิตตกใจกลัวบังคับทหารนายหนึ่งที่เหลือให้เข้าไปสู้กับเหม ทหารนายนั้นไปยืนเผชิญหน้าเหมไม่กล้าเข้าไป เลยถูกหมื่นวิชิตแทงข้างหลังตายคาที่ เหมถามว่าฆ่าทำไมตนต้องการเอาไว้เป็นพยานหลักฐาน หมื่นวิชิตอ้างว่าเป็นทหารญวนที่วางแผนหลอกเรามาฆ่า แล้วเร่งเหมให้รีบกลับ

        หมื่นวิชิตวิ่งอ้าวไปทันที เหมมองตามด้วยความสงสัยแต่ตอนนี้ก็ไม่มีพยานหลักฐานเหลือแล้ว

        พระยาปลัดไปส่งหลวงสรอรรถยังที่หนึ่ง บอกว่าส่งแค่นี้พอเพราะหากตนนำทัพหนุนไปไม่ทันฤกษ์ศึก ก็ต้องรับโทษไปด้วย หลวงสรอรรถขู่ว่าที่พระยาปลัดเดินทัพช้าเพราะมัวแต่หาความสำราญกับเด็กหญิงเชลยศึกแลปล้นสะดมชาวบ้านต่างหาก และพอหลวงสรอรรถเอาผลประโยชน์มาล่อ พระยาปลัดก็โอนอ่อนตาม

        3-4 วันผ่านไป เมื่อทัพพระยาปลัดยังไม่มา เจ้าพระยาบดินทร์เดชาจึงจัดทัพประกาศอย่างดุดัน

สปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาาสปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาา

        “ข้าเฝ้ารออยู่นานวัน ทัพหนุนของพระยาปลัดก็ไม่มาตามฤกษ์ แต่พวกเอ็งอย่าได้ห่วงไปเลย แม้เราจะมีพลน้อยกว่า เราก็จะสู้จนเหลือคนสุดท้าย หากศึกนี้ไม่ได้ชัย ข้า... เจ้าพระยาบดินทร์เดชาก็ขอเอาดินเมืองโจฎกกลบหน้ามิขอกลับไปพระนครให้อายอาณา ประชา ราษฎร์เป็นอันขาด”

        พระศรีไชยทิตยชักดาบประกาศให้ตั้งทัพเป็นรูปปีกกา หมื่นเผด็จเป็นปีกซ้าย หลวงกำแหงเป็นปีกขวา ตนจะคุมกองกลางบุกเข้าไปพร้อมกัน

        “ช้าก่อนขอรับ กระผมขออาสาเป็นกองทะลวงฟัน ขอเป็นคนแรกที่เข้าประดาบกับข้าศึกขอรับ” เหมอาสา

        “เอ็งเป็นทหารคุ้มครองข้าแต่ยังอาสาเป็นกองทะลวงฟันไปเสี่ยงตายอีก น้ำใจเช่นนี้ จึงคู่ควรเป็นทหารใต้ร่มธงของข้านัก” เจ้าพระยาชื่นชมแล้วสั่งทุกคน “มีคำสั่งลงไป เราจะบุกเข้าตีเมืองโจฎกพร้อมกับทัพของเจ้าพระยาพระคลังประเดี๋ยวนี้!”

สปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาาสปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาา

        เหมนำกองหน้าทะลวงฟันบุกเข้าสู้กับกองทัพญวน เสียงทหารโห่ร้องอย่างฮึกห้าวเหิมหาญ ทัพไทยและทัพญวนประจัญบานกันดุเดือด แม้ทหารไทยจะมีกำลังน้อยกว่าแต่ก็รุกไล่จนองเดดกสั่งทหารญวนถอยร่น ทหารไทยเห็นทหารญวนถอยร่นก็ยิ่งฮึกหาญ ตะลุยเข้าไป องเดดกกระหยิ่มยิ้มที่เป็นไปตามแผน ตะโกนสั่ง

        “ยิงปืนใหญ่!!”

        ทหารไทยถูกปืนใหญ่ของทหารญวนถล่มแตกระส่ำระสาย เจ้าพระยานั่งอยู่บนหลังม้าตะโกนสั่ง

        “ยิงช่วยทัพหน้า!!”

        ปืนใหญ่ฝ่ายไทยระดมยิงสวนฝ่ายญวนไปทันที แต่เพราะฝ่ายไทยอยู่บนพื้นราบจึงเสียเปรียบฝ่ายญวนที่อยู่บนกำแพง ฝ่ายไทยจึงต้องถอยมาตั้งหลักวางแผนใหม่ที่ค่าย

        บุษย์เข้ามารายงานเจ้าพระยาในกระโจมว่า “ทัพเรือของท่านเจ้าคุณพระยาพระคลังบุกเข้าตีอย่างพร้อมเพรียง แต่แม่น้ำลำคลองของญวนตื้นเขิน เรือไทยลำใหญ่กินน้ำลึกไม่อาจเข้าได้ ต้องใช้เรือเล็กบุกเข้าไป ทำให้ทัพเรือของญวนตั้งรับง่าย บุกแต่เช้าถึงเพลไม่อาจรุกคืบหน้าได้แม้แต่น้อย จนต้องถอยทัพขอรับ” พระศรีสิทธิสงครามและสมิงสอดน้อยที่ฟังอยู่ด้วยทุกคนเครียด คิดหายุทธวิธีที่จะเอาชนะพวกญวน เจ้าพระยาบดินทร์เดชาจึงเปลี่ยนแผนใหม่สั่งเหมให้จัดเตรียมช้างไว้ให้พร้อมเพื่อทำการศึกครั้งใหม่

        เมื่อเจ้าพระยาบดินร์เดชา ขุนศรีไชยทิตย และเหม ไปดูช้าง ขุนศรีรายงานว่า “ตามหลักพิชัยยุทธ์แล้ว ช้างที่มีลักษณะเป็นช้างโคตรแล่นจะต้องเอาไว้รั้งท้าย เพื่อไม่ให้อาละวาดทำร้ายกองทัพเราเอง แต่มีกลศึกหนึ่งใช้การปลุกช้างด้วยการให้กินสุราจนเมาแล้วจุดไฟที่หาง เหล่าช้างโคตรแล่นก็จะพุ่งทำลายศัตรูได้ขอรับ” เจ้าพระยาพยักหน้า คิดว่าความเสียเปรียบในชัยภูมิครั้งนี้ทำให้เราต้องถอยทัพ แต่กลศึกคชสารนี้คงช่วยพลิกจากร้ายกลายเป็นดีได้บ้าง แต่เหมติงว่ากลศึกนี้เสี่ยงภัยมากเพราะไม่มีผู้ใดจะบังคับช้างโคตรแล่นยามบ้าคลั่งได้ เหมจึงเสนอว่า

        “กระผมเห็นว่าเราควรเอาปืนใหญ่ใส่หลังช้างที่มีลักษณะดี แล้วบังคับช้างบุกเข้าไปพอได้ระยะก็ยิงปืนใหญ่สู้กับพวกมันขอรับ” ฟังแล้วเจ้าพระยาตบบ่าเหมเอ่ยอย่างพอใจว่า

สปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาาสปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาา

        “เอ็งพูดเหมือนใจข้าคิด ข้ากำลังจะบอกอยู่เชียว” แล้วเจ้าพระยาก็ถามถึงช้างยักษ์เชือกนั้นว่าเป็นอย่างไรบ้าง ขุนศรีไชยทิตยรายงานว่าแข็งแรงดี ถ้าท่านเจ้าคุณจะใช้งาน ตนจะให้อ้ายสังข์บุกตามเข้าไปเป็นสุดท้ายเพื่อพังกำแพงเมืองดีหรือไม่ “เหมาะนัก! ข้ารู้ว่าเหล่าควาญรักช้างเหมือนลูก แต่ศึกครั้งนี้เราแพ้ไม่ได้ หากต้องเสียสละชีวิตช้างไปบ้าง ก็ขอขมาทุกคนด้วย”

        คณะละครของขุนนาฏไปถึงนครราชสีมาแล้ว ลำดวนนวดให้ขุนนาฏที่โถงเรือน ขุนนาฏชมว่าลูกทั้งหมดจะหาใครนวดเก่งเท่าลำดวนเป็นไม่มี รำพึงว่าถ้าลำดวนออกเรือนไปพ่อคงคิดถึงนัก ลำดวนเอ่ยเศร้าๆว่าคงไม่มีวันนั้นดอก ขุนนาฏ มองหน้าลำดวนเอ่ยอย่างรู้ใจว่า อันที่จริงคุณปิ่นก็ไม่ได้รังเกียจอะไรเหม หากเหมรับราชการเก็บภาษีค่าขนอนเหมือนพระยาบริรักษ์ แต่นี่เหมเป็นทหารไปแล้ว คุณปิ่นจึงไม่อยากให้ลำดวนทุกข์ใจ

        “ลูกทราบเจ้าค่ะ แลลูกรู้แล้วว่าเป็นจริงตามที่แม่ท่านห่วงทุกประการ แลเพลานี้ลูกก็เป็นทุกข์ด้วยความเป็นห่วงคุณพี่เหมอยู่แล้วเจ้าค่ะ”

        “ถ้าเช่นนั้น” ขุนนาฏลุกนั่ง “ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วล่ะ แต่จำเอาไว้นะ สิ่งใดที่ได้มายากและรักษาไว้ยาก สิ่งนั้นก็ยิ่งมีค่า”

---------- จบตอนที่ 9 แล้วจ้า ----------

สปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาาสปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาา

ติดตาม ดูทีวีออนไลน์ ดูละครออนไลน์ได้ที่: http://tv.sanook.com/

-------

อัลบั้มภาพ 16 ภาพ

อัลบั้มภาพ 16 ภาพ ของ สปอยละครข้าบดินทร์ ตอนที่ 9 จ้าาา

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook