การกลับมาของจารชนคนอันตราย “เจสัน บอร์น” ใน Jason Bourne
หลังจากที่หนังภาคก่อนอย่าง The Bourne Legacy ในปี 2012 ที่นำแสดงโดยเจรามี เรนเนอร์ ได้รับเสียงตอบรับที่ไม่ค่อยจะโอเคนัก เพราะไม่ได้เล่าเรื่องราวของสายลับเจสัน บอร์น แต่ไปโฟกัสที่สายลับคนอื่นแทน มนต์เสน่ห์ของตัวหนังเลยหายไป
นับตั้งแต่ปี 2007 ที่แมตต์ เดมอนปรากฏตัวในหนังภาคที่ 3 อย่าง The Bourne Ultimatum กาลเวลาผันผ่านจนได้เวลาที่เขาจะกลับมา ทางทีมผู้สร้างเองก็มองหาจุดบรรจบของเหตุการณ์ทางการเมืองและสังคมที่จะเป็นฉากที่เหมาะให้บอร์นได้กลับมาและสืบสานเรื่องราวของเขาให้เดินหน้าต่อไป และเหตุการณ์เหล่านั้นเริ่มต้นขึ้นในปี 2014
สิ่งที่หนังภาคนี้จะต้องนำเสนอกับผู้ชมก็คือการขจัดปัญหาที่ต้องจัดการก่อนเป็นอย่างแรกเลยก็คือคำถามที่ว่า “ตกลงบอร์นหายไปอยู่ที่ไหนมา” ตามกรอบเวลาที่ถูกวางเอาไว้ใน Ultimatum สายลับผู้นี้ได้เดินจากไปในช่วงสิ้นปี 2004 “ดังนั้น เขาไปทำอะไรมานานถึง 12 ปี และชีวิตเขาเป็นยังไงบ้าง”
สิ่งที่ทำให้ผู้ชม “เข้าถึง” ตัวละครเจสัน บอร์นได้นั้นเพราะแม็ตต์ทำให้บอร์นเป็นตัวละครที่ทุกคนสัมผัสได้ในฐานะผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง เขาเป็นตัวละครที่พบหนทางที่จะก้าวเข้าสู่สถานการณ์นี้ และพยายามที่จะค้นหาความจริง มันคือสมดุลในส่วนที่ว่าเขาคือใคร นอกจากนี้ ความดิบและความเหมือนจริงของภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าเป็นสิ่งที่แตกต่างไปจากภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ในแนวเดียวกัน มันทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังดูบางอย่างที่มาพร้อมแรงดึงดูดมากขึ้น ความรู้สึกที่แทบจะเหมือนกับสารคดี และการเข้าถึงได้ง่ายของแม็ตต์ เป็นสิ่งที่มีเสน่ห์ และทำให้คนสนใจได้
ภาพยนตร์ทริลเลอร์เรื่องนี้แตะประเด็นปัญหาการเมืองปัจจุบัน แต่ความรู้สึกประชดประชันและความเบื่อหน่ายที่โลกรู้สึกกับคนที่ไว้วางใจเพื่อให้มาบริหารโลกนี้ให้กับเรา เรื่องราวของบอร์นจะมีความต่อเนื่อง รวมถึงการค้นหาความจริงของเขา แต่เรื่องราวในบทภาพยนตร์ตอนนี้กลับเป็นเหมือนเรื่องที่จบเบ็ดเสร็จในตนเอง เมื่อคนดูเข้าใจในโลกที่เจสันอาศัยอยู่ สิ่งที่เขาพยายามทำ พวกเขาก็จะตามติดเรื่องได้เร็ว ถึงแม้พวกเขาจะไม่เคยดูหนังภาคก่อนๆ นี้ก็ตาม ส่วนคนที่รู้จักดีว่าเจสัน บอร์นเป็นใคร ก็คงอยากเห็นว่าเขาจะเคลื่อนไหวยังไงต่อไป และร่วมผจญภัยไปกับเขาด้วย
@พริตตี้ปลาสลิด
ตัวอย่างภาพยนตร์ The Bourne Legacy
อัลบั้มภาพ 4 ภาพ