9 หนังภาคต่อสุดน่าผิดหวังประจำปี 2016

ปี 2016 ยังเป็นปีที่เต็มไปด้วยหนังภาคต่อ (ปีหน้าก็เช่นกัน) เรียกได้ว่ามีทั้งหนังฟอร์มกลาง ฟอร์มเล็กและฟอร์มยักษ์มากมายมหาศาล แต่บางเรื่องก็จัดได้ว่าน่าประทับใจ หลายเรื่องก็พอสอบผ่าน แต่ที่ดูแล้วน่าผิดหวังมีเรื่องอะไรกันบ้าง นี่คือ 9 เรื่องของปี 2016 ที่เรามองว่า “น่าผิดหวัง” จัง

Zoolander 2

ในปี 2001 Zoolander จัดเป็นหนังตลกทุนต่ำผลงานการกำกับของ เบน สติลเลอร์ (แสดงเองด้วย) แม้ว่าตอนที่เข้าฉายจะไม่ได้รับความนิยมมากมาย แต่เมื่อมันกลายเป็นวิดีโอ (เด็กสมัยนี้ยังรู้จักไหม) กลับมีกลุ่มแฟนคลับอันเหนียวแน่น ตัวหนังเล่าเรื่องราวของดีเรค (เบน สติลเลอร์) นายแบบตกอับที่ต้องพยายามทุกวิถีทางในการหวนคืนสู่แคทวอล์คของตน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังต้องพัวพันกับแผนลอบสังหารประธานธิบดี ส่วนภาค 2 นั้นเหล่าศิลปินดังทั่วโลกโดนสังหารอย่างปริศนาและทุกคนล้วนทำท่าบลูสตีล ท่าปากจู๋อันเป็นท่าเฉพาะตัวของดีเรค ทำให้เขาต้องเข้าไปสืบเรื่องราวนี้ด้วยตัวเอง จะว่าไปแล้วตัวหนังก็ยังคงเส้นคงวาเรื่องความเสียสติ แต่น่าเสียดายที่มุกตลกส่วนมากออกจะแป๊กมากกว่าตลก ทำให้หนังน่าผิดหวังไปไม่น้อย

 

The Divergent Series: Allegiant

จากวรรณกรรมเยาวชนชื่อดังอย่าง The Divergent Series ที่เดินทางมาถึงภาคที่ 3 (เวอร์ชั่นนิยาย) มีแค่ 3 เล่มจบ แต่ตัวหนังแบ่งออกเป็น 2 ภาคในชื่อ Allegiant และ Ascendant แต่นั่นคือความผิดพลาดประการใหญ่ เนื่องจากแฟรนชายส์แบ่งโลกชุดนี้ก็ไม่ไดรับความนิยมอย่างที่มันควรจะเป็น รายได้ของหนังลดลงเรื่อยๆตามจำนวนภาค คำวิจารณ์ของหนังก็เช่นเดียวกัน ความน่าผิดหวังก็คือหนังค่อนข้างน่าเบื่อ ประเด็นซ้ำซาก ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่รายได้ของหนัง Allegiant เรียกได้ว่าย่ำแย่ โครงการสร้างภาคต่อจึงถูกเบรกไว้ และทางสตูดิโออย่างไลออนเกตส์กลับตัดสินใจว่าจะสร้างภาคต่อในรูปแบบของทีวีซีรีส์ เป็นผลทำให้นักแสดงนำของเรื่องอย่างไชลีน วูดลีย์และไมลส์ เทเลอร์ตัดสินใจถอนตัวเนื่องจากพวกเขาไม่ได้เซ็นสัญญาแสดงในฐานะเป็นทีวีซีรีส์

 

Independence Day Resurgence

20 ปีให้หลังจากเหตุการณ์มนุษย์ต่างดาวถล่มโลกในภาคแรก แต่ใน ID4 2 ก็มีพล็อตเรื่องแทบไม่ได้แตกต่างกันกับหนังภาคแรก เปลี่ยนแค่ตัวละครให้เป็นตัวละครใหม่ๆ มีตัวละครจากภาคเก่ามาร่วมแจม และท้ายที่สุดคือหนังมีโปรดักชั่นที่ใหญ่กว่าเดิมหลายเท่าตัว ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่คนดูหนังภาคแรกมาก่อนดูหนังแล้วเกิดอาการไม่ค่อยอินหนังในภาคนี้เนื่องจากบทหนังค่อนข้างแย่ ยังดีหน่อยที่บรรดาฉากซีจีถล่มเมือง ระเบิดตูมตามยังสมดีกรีของผู้กำกับจอทำลายล้างอย่างโรแลนด์ เอมเมอริช แต่เมื่อพิจารณาจากทุนสร้าง 165 ล้านเหรียญ หนังทำเงินในบ้านเกิดแค่เพียง 103 ล้านเหรียญเท่านั้น แต่ในตลาดต่างประเทศนอกอเมริกาทำเงินไป 286 ล้านเหรียญ ทำให้รายรับรวมของหนังคือ 389 ล้านเหรียญ

 

London Has Fallen

หลังจากที่ Olympus Has Fallen กลายเป็นหนังฮิตเกินความคาดหมาย ทำให้ภาคต่อของหนังเรื่องนี้ถูกทำออกมา บอกเล่าเรื่องราวการบุกโจมตีของผู้ก่อการร้ายที่หมายมั่นจะกำจัดบรรดาผู้นำในหลายประเทศด้วยการวางหมากให้พวกเขาเดินทางไปร่วมงานศพของนายกรัฐมนตรีของประเทศอังกฤษ หนังขายฉากแอ็คชั่นโครมคราม ระเบิดที่ถล่มใส่คนดูแบบไม่บรรยะบรรยัง แต่ที่ความพังพินาศของหนังคือการที่ตัวหนังไม่ห่วงความสมจริงของเรื่องเหตุผลหรือหลักฟิสิกส์ใดๆ แต่ถึงอย่างนั้นหนังก็ยังคงทำเงินทั่วโลกไปถึง 205 ล้านเหรียญ และเตรียมสร้างภาค 3 แล้วเรียบร้อย

 

Teenage Mutant Ninja Turtles :Out of the Shadows

หลังจากที่บรรดาเต่านินจาได้วาดลวดลายพิทักษ์เมืองนิวยอร์กไว้ในภาคแรก ถึงคราวที่พวกเขาต้องออกมาพิทักษ์โลกอีกครั้ง โดยเรื่องราวในภาคนี้ลีโอนาร์โด, ราฟาเอล, โดนาเทลโล และไมกี้ จะต้องมาพิทักษ์โลกจากเชร็ดเดอร์ ศัตรูตัวฉกาจ ที่กลับมาพร้อมลูกสมุนอย่างบีบ็อบและร็อคสเตดี้ ถ้าหากว่าคุณไม่ได้ปลื้มหนังภาคแรก คุณก็คงจะไม่ได้ชอบหนังภาคสองไปมากกว่ากัน เพราะตัวละครก็ออกจะน่ารำคาญไปซะหมด เหมือนมือเขียนบทจะไม่ได้ใส่อีคิวให้กับตัวละครสักเท่าไหร่ ยังดีหน่อยที่หนังภาคนี้มีฉากแอ็คชั่นในปริมาณมากกว่าภาคแรก

 

My New Sassy Girl

หนังเกาหลีภาคต่อของ My Sassy Girl ที่สร้างความประทับใจให้กับคนเกาหลี รวมถึงคนไทย จนทำให้สาวจวน จี ฮุนกลายเป็นดาราที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงเกาหลีฟีเวอร์ แต่แล้วใครจะไปคิดว่าเมื่อเวลาผ่านไปร่วม 15 ปี หนังโรแมนติกสุดประทับใจเรื่องนี้จะมีภาคต่อออกมา แต่ดูเหมือนว่านักแสดงอย่างจวน จี ฮุนจะไหวตัวทันถึงบทภาพยนตร์ที่พังพินาศและน่ารำคาญมากกว่าจะสนุก เป็นผลทำให้เธอไม่กลับมาแสดงภาคต่อเหลือไว้แต่ตัวละครคยอนอู (ชาแทฮยอน) ที่ต้องเผชิญหน้ากับยัยตัวร้ายคนใหม่ ท่ามกลางบทภาพยนตร์ที่จัดได้ว่า “ตลกฝืด” หนังเรื่องนี้จึงจัดได้ว่า ไม่ควรจะถูกสร้างขึ้นมาเลยจริงๆ

 

Blair Witch

ภาคต่ออย่างแท้จริงของ The Blair Witch Project ในปี 1999 ภาพยนตร์ที่จัดได้ว่าเป็นตำนานบทหนึ่งของโลกภาพยนตร์ กว่า 17 ปีที่โลกได้รู้จักตำนานของแม่มดแบลร์ในป่าแบล็คฮิลล์ ครั้งนี้ตำนานดังกล่าวถูกคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งภายใต้ฝีมือการกำกับของอดัมส์ วินการ์ด บอกเล่าเรื่องราวของน้องชายเฮเธอร์ที่ตัดสินใจเดินทางเข้าป่า เนื่องจากคิดว่าพี่สาวของเธอน่าจะยังมีชีวิตอยู่ในป่าแห่งนี้ น่าเสียดายที่ตัวหนังได้ปั้นกระแสของตัวเองไว้ดีมากไม่ว่าจะเป็นการตั้งชื่อหลอกว่า The Forrest ก่อนจะเผยว่าจริงๆแล้วมันคือหนังเรื่อง Blair Witch จนได้รับกระแสอย่างมากมาย แต่ทุกอย่างก็ล่มสลายเมื่อหนังเข้าฉายจริงเนื่องจากตัวหนังเต็มไปด้วยสูตรสำเร็จอันน่ารำคาญของหนังสยองขวัญไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมน่ารำคาญของตัวละครที่ผู้ชมอย่างจะไล่พวกเขาให้ตายไวๆมากกว่าจะเอาอกเอาใจช่วย

 

Jack Reacher: Never Go Back

แม้ว่า Jack Reacher ภาคแรกอาจจะโดดเด่นเรื่องลูกล่อลูกชนของบทหนังที่มีการพลิกแพลงไปมา แต่ถึงอย่างนั้นตัวหนังก็ไม่ได้เป็นที่รักของนักวิจารณ์ หนังอยู่ในระดับกลางๆ และความสามารถในการทำเงินก็เช่นกัน หนังทำเงินในระดับปานกลาง แต่ค่ายพาราเมาต์ก็ยังมองเห็นความสามารถในการทำเงินของแฟรนชายส์แจ็ค รีชเชอร์ด้วยการสร้างภาคต่ออย่าง Jack Reacher: Never Go Back ออกมา แต่น่าเสียดายที่หนังค่อนข้างเนิบนาบ มัวแต่เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครนานเกินไป ส่วนฉากแอ็คชั่นก็น้อยมาก แถมความลึกลับซับซ้อนของบทภาพยนตร์ก็แทบไม่มีเลย เรียกว่าพอผ่านกลางเรื่องไปแล้วทุกอย่างก็สามารถคาดเดาได้อย่างไม่ยากเย็น

 

Death Note: Light Up the New World

ใครจะไปนึกว่าหลังจากที่คิระหรือยางามิ ไลท์และคู่ปรับอย่างแอลตายไปแล้ว จะมีทายาทสืบทอดเจตนารมย์ปรากฏตัวขึ้นมาอีก หลังจากที่มีเดธโน้ตตกลงมายังโลกมนุษย์จนเกิดความวุ่นวายไปทั่วโลก เมื่อมีเหล่าอาชญากรล้มตายอย่างปริศนา หลังจากนั้นจึงมีทีมของตำรวจทำการสืบคดีนี้และทุกอย่างก็มีเงื่อนงำมากกว่าที่คิด น่าเสียดายที่พล็อตเรื่องแม้ว่าจะน่าติดตามขนาดนี้ แต่เอาเข้าจริงตัวหนังจัดได้ว่าน่าเบื่อมาก ประกอบกับคาแรกเตอร์ของตัวละครที่นักแสดง “พยายาม” ก๊อปปี้ทั้งแอลและไลท์จนปราศจากความเป็นธรรมชาติจนดูน่ารำคาญจะภาวนาให้หนังจบลงไวๆ หรือใครก็ได้ช่วยเขียนชื่อผู้กำกับลงในเดธโน้ตสักทีเราจะได้กลับบ้าน

 @พริตตี้ปลาสลิด