บ็อกซ์ออฟฟิศของจีน ไม่โตเท่าที่คาดในปี 2016

บ็อกซ์ออฟฟิศของจีน ไม่โตเท่าที่คาดในปี 2016

บ็อกซ์ออฟฟิศของจีน ไม่โตเท่าที่คาดในปี 2016
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

ภาพยนตร์ The Mermaid ของ Stephen Chow นั้น ทำรายได้ไป 526.8 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก่อนที่ตลาดบ็อกซ์ออฟฟิศของจีนจะเงียบลง ทั้งๆ ที่ในปี 2015 ตลาดมีการขยายตัวถึง 48 เปอร์เซนต์ สร้างมูลค่า 6.78 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ แต่ในปี 2016 นี้ กลับมีการเติบโตเพียงแค่ 4.5 เปอร์เซนต์เท่านั้น

ทั้งนี้ เมื่อช่วงต้นปี วงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของจีน ตั้งเป้าว่าจะยกระดับตลาดภาพยนตร์จีนให้เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เมื่อถึงสิ้นปีโครงการกลับไม่เป็นไปตามที่หวัง

เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ที่วงการบ็อกซ์ออฟฟิศของจีน มีการขยายตัวรวดเร็วมาอย่างต่อเนื่อง จากปี 2003 ถึงปี 2015 แต่ละปีมีการขยายตัวประมาณ 35 เปอร์เซนต์เป็นอย่างน้อย จนปี 2015 ตลาดจีนเป็นตลาดการแสดงที่ใหญ่มาก บ็อกซ์ออฟฟิศมีการเติบโต 48 เปอร์เซนต์ ทำรายได้ถึง 6.78 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ และในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ก็ยังมีการขยายตัวมาก จากภาพยนตร์เรื่อง The Mermaid ทำให้นักวิเคราะห์ ต่างทำนายว่า ตลาดภาพยนตร์ จะต้องไปอีกไกลมากอย่างแน่นอน

แต่พอมาถึงช่วงไตรมาสที่ 2 ปรากว่า ตลาดซบเซาลง และเป็นช่วงขาลงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม มาจนถึงวันที่ 15 ธันวาคมนี้ แต่อย่างก็ตามต้องยกความดีให้กับไตรมาสแรก ที่ทำไว้ดี จึงทำให้ภาพรวมของตลาด ยังมีการขยายตัว แม้จะไม่ถึง 5 เปอร์เซนต์ก็ตาม

ภาพยนตร์เรื่อง The Great Wall ซึ่งได้ Matt Damon มาร่วมแสดงและร่วมผลิตนั้น ก็ช่วยกระตุ้นตลาดได้บ้าง โดยสามารถทำรายได้จากการเปิดตัวไป 67.4 ล้าน แต่เมื่อเทียบกับภาพยนตร์แนวผจญภัยแฟนตาซี  Mojin : The Lost Legend ซึ่งออกมาในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว พบว่า Mojin : The Lost Legend ก็ยังทำได้ดีกว่า คือเปิดตัวที่ 92 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ และทำยอดรวมได้ 255.7 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่ง The Great Wall นั้นไปไม่ถึง

กลุ่มอุตสาหกรรมบันเทิงทำนายว่า ตลอดทั้งปีนี้ อัตราการขยายตัวของอุตสาหกรรมภาพยนตร์จีนจะอยู่ที่ 4.5 เปอร์เซนต์ ซึ่งต่ำว่าที่คาดหวังกันไว้ถึง 30 เปอร์เซนต์ ส่วนสาเหตุที่ทำให้อุตสาหกรรมชะลอตัวลงนั้น ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่ ผู้สังเกตการณ์หลายคนมองว่า เป็นเพราะความอ่อนแอของธุรกิจภาพยนตร์ท้องถิ่น การลักลอบนำภาพยนตร์มาเผยแพร่ นอกจากนี้ ยังมีความพยายามตัดราคากันในการขายตั๋วออนไลน์ เพราะผู้ขายแต่ละรายต่างต้องการแย่งตลาดกัน ทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจแย่ลงไป

อย่างไรก็ตาม วงการภาพยนตร์ก็หวังว่าจะสามารถกู้สถานการณ์ได้ หากทางการมีความใส่จะที่จะช่วยตรวจสอบและแก้ปัญหาให้กับอุตสาหกรรมดังนี้

อย่างแรก อุตสาหกรรมบ็อกซ์ออฟฟิศเห็นว่า ทางการควรจะสนับสนุนภาพยนตร์ท้องถิ่นด้วยการจำกัดการนำเข้าภาพยนตร์จากต่างประเทศ ในช่วงซัมเมอร์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาของบล็อกบลัสเตอร์ ซึ่งเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ที่ทางการสนับสนุนภาพยนตร์ท้องถิ่นด้วยวิธีนี่ แต่ในปีที่ผ่านมา  ในช่วงเดือนกรกฎาคม ถึงเดือนสิงหาคม มีภาพยนตร์ฮอลลีวู๊ดหลายเรื่องได้รับอนุญาตให้เข้าฉาย อาทิ Teenage Mutant Ninja Turtles: Out of the Shadows ของพาราเมาท์ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม The Legend of Tarzan ของวอร์เนอร์บราเธอ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม และ The Secret Life of Pets ของยูนิเวอร์แซล เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม

นอกจากนั้น ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ยังมีข้อตกลงเกี่ยวกับภาพยนตร์ต่างประเทศ ที่ต่างไปจากเดิม จากที่เคยจำจัดการฉายภาพยนตร์จากต่างประเทศไว้ที่ปีละ 34 เรื่อง แต่ทางเจ้าหน้าที่ได้อนุญาตให้มีการฉายมากกว่านั้น จนในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน มีจำนวนภาพยนตร์จากต่างประเทศเข้าฉายถึง 38 เรื่อง โดยให้เหตุผลว่า เป็นโครงการเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม

ภาพยนตร์จากฮอลลีวู๊ด มีอัตราการขยายตัวสูงกว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศ รายได้จากภาพยนตร์นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา สูงขึ้น 18.9 เปอร์เซนต์ ในช่วงวันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 15 ธันวาคม และภาพยนตร์จากต่างประเทศ ก็ยังเข้ามากินส่วนแบ่งในตลาดบ็อกซ์ออฟฟิศของจีนอีก 43.5 เปอร์เซนต์ ในช่วงปี่ที่ผ่านมา เพิ่มจากเมื่อปี 2015 ที่ส่วนแบ่งอยู่ที่ 38.4 เปอร์เซนต์

อย่างไรก็ตาม ผลรวมของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ จะมีสรุปรวมในวันที่ 1 มกราคม แต่ปีนี้ก็เห็นภาพรวมของความไม่สดใสแล้ว

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook