วิจารณ์หนัง KUNG FU YOGA สมานฉันท์จีน-อินเดีย

ในยุคที่ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ไม่ว่าจากฝั่งฮอลลีวูดหรือเอเชีย จะต้องมีนักแสดงมากกว่า 1 สัญชาติ เพราะนอกจากนักแสดงจากประเทศตัวเองแล้ว การดึงเอานักแสดงเพื่อนบ้านหรือต่างประเทศเข้ามาร่วมแสดงในหนังนั้น เป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้หนังสามารถเข้าถึงและขายในตลาดนอกประเทศได้ง่ายขึ้น ปีที่ผ่านมาทางฝั่งตะวันตกหนังฟอร์มยักษ์หลายเรื่องใส่ตัวละครจากเอเชียเข้ามาเป็นตัวละครหลักของหนังไม่ว่าจะเป็น ID4 2 หรือ xXx: Return of Xander Cage เป็นต้น

เช่นเดียวกันกับ KUNG FU YOGA หนังร่วมทุนสร้างรัฐบาลจีนและรัฐบาลอินเดีย ซึ่งทั้งสองประเทศเป็นชาติที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และมีเอกลักษณ์เป็นที่จดจำของทั่วโลก เพราะอินเดียเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมที่คนทั่วโลกจดจำก็คือการเต้นแบบบอลลีวูดและศาสตร์โยคะ ซึ่งได้นักแสดงอินเดียอย่างโซนู ซูด และ ทิชา พาตานี มาร่วมแสดง ส่วนจีนเราก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าศิลปะการต่อสู้แบบกังฟูนั้นเป็นที่เลื่องลือขึ้นชื่อและเป็นสไตล์การต่อสู้อันเป็นภาพจำของนักแสดงอย่าง “เฉินหลง”

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนัง เล่าถึงแจ็ค (เฉินหลง) ศาสตราจารย์โบราณคดีชาวจีนประจำสุสานนักรบดินเผาเมืองซีอาน ซึ่งต้องมาร่วมทีมในการตามหาสมบัติของชาวอินเดียที่ถูกฝังอยู่ใต้น้ำแข็งมาเป็นเวลากว่าศตวรรษ และการหักเหลี่ยมเฉือนคมที่จะเปิดเผยอดีตอันแสนลึกลับ รวมถึงกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อคไปสู่สมบัติอันประเมินค่าไม่ได้ด้วย

ตัวหนังเล่าเรื่องราวในสไตล์หนังล่าขุมทรัพย์ ซึ่งระหว่างทางของหนังตัวละครหลักจะต้องเผชิฐหน้ากับเหตุการณ์อาทิ การต่อสู้เพื่อแย่งชิงลายแทงที่จะนำไปสู่ขุมทรัพย์ การหักหลังระหว่างคนในทีม การเผชิญหน้ากันระหว่างตัวเอกและผู้ร้าย ฉากไล่ล่าบนท้องถนน ฉากต่อสู้ที่แทรกมุกตลก และท้ายที่สุดคือฉากไคลแมกซ์ที่เป็นฉากใหญ่โตโอฬาร

ตัวหนังอาจจะเล่าและเดินเรื่องตามสูตรสำเร็จของหนังในสไตล์ล่าขุมทรัพย์ ซึ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่คาดเดาได้ แต่โชคดีที่หนังมีนักแสดงหลัก (ทั้งจีนและอินเดีย) ที่เปี่ยมเสน่ห์และลีลาการต่อสู้ที่น่าสนใจ ทำให้หนังเรื่องนี้ดูได้อย่างเพลินๆ แม้จะไม่ได้มีอะไรเหนือความคาดหมาย แต่ “ไคลแมกซ์” ของหนังเรื่องนี้ก็มีอะไรให้เราแปลกใจอยู่ไม่น้อย เมื่อหนังเลือกจะ “แอนตี้ไคลแมกซ์” ของหนังในสไตล์ล่าขุมทรัพย์แบบเราเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน หลายคนอาจจะเกิดอาการหัวเสียไม่ชอบที่หนังเลือกจะจบแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแบบนี้ แต่ในขณะเดียวกันเรากลับมองว่ามันเป็นการยุติปัญหาแบบ “ปัญญาชน” พึงกระทำกัน ได้อย่างน่าชื่นชม

3 คะแนนจาก 5 คะแนน
@PRETTYPLASALID