10 เพลงประกอบหนังยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์ที่ติดหูจนถึงวันนี้

10 เพลงประกอบหนังยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์ที่ติดหูจนถึงวันนี้

10 เพลงประกอบหนังยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์ที่ติดหูจนถึงวันนี้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

รางวัลเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์นั่นเกิดขึ้นและมีการมอบรางวัลในสาขานี้ครั้งแรกในปี 1934 ซึ่งภาพยนตร์เรื่องแรกที่ได้รับรางวัลนี้ก็คือ The Gay Divorcee ในบทเพลง The Continental ที่สำคัญก็คือ รางวัลในสาขานี้ทำให้ผู้ขับร้องเพลงนี้มีเพลง “เด่น” ในชีวิต เลยก็ว่าได้ แต่ใน 10 บทเพลงที่เราจะหยิบเอามานำเสนอ ก็คือบทเพลงที่ยังฮิตและได้รับความนิยมมากๆจนถึงทุกวันนี้ มาดูกันดีกว่าว่ามีบทเพลงอะไรบ้าง

 

เพลง You Light Up My Life
ภาพยนตร์ You Light Up My Life (1977)

ตัวหนังบอกเล่าเรื่องราวของสาวน้อยที่มีฝันยิ่งใหญ่ที่จะเป็นนักร้อง แต่เธอก็ไม่ได้รับการสนับสนุนจากคนรอบข้างและครอบครัว ทำให้เธอต้องพยายามพิสูจน์ตัวเองให้ได้ หนังได้นักแสดงอย่าง ดีดี้ คอนน์, โจ ซิลเวอร์ และไมเคิล ซาสโลว์ ความโดดเด่นของเพลงนี้คือ ศิลปินในทุกยุคทุกสมัยหยิบเอาเพลงนี้มาคัฟเวอร์ ซึ่งเววอร์ชั่นที่โด่งดังได้แก่ เวอร์ชั่นของลีแอน ไรม์, วิทนีย์ ฮูสตัน และ เด็บบี้ โบเน่

 

เพลง Que Sera, Sera (Whatever Will Be, Will Be)
ภาพยนตร์ The Man Who Knew Too Much (1956)

ผลงานภาพยนตร์ของผู้กำกับในตำนานอย่าง อัลเฟรด ฮิชค๊อก บอกเล่าเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่เดินทางไปพักร้อนที่โมร็อคโค แต่บังเอิญว่าคุณพ่อของครอบครัวนี้ดันไปล่วงรู้ความลับที่จะมีคนลอบสังหารบุคคลสำคัญระดับชาติ ทำให้พวกเขาถูกไล่ล่าอย่างเอาเป็นเอาตาย อย่างไรก็ตามความโดดเด่นของเพลงประกอบภาพยนตร์อย่าง Que Sera, Sera (Whatever Will Be, Will Be) ซึ่งขับร้องโดยนางเอกของเรื่องอย่าง ดอริส เดย์ ก็ได้รับความนิยมอย่างมาก จนถึงปัจจุบันที่เพลงนี้ยังถูกหยิบมาเป็นเพลงประกอบโฆษณาอยู่บ่อยครั้ง

 

เพลง Fame
ภาพยนตร์ Fame (1980)

หนังแนวมิวสิคัลบอกเล่าเรื่องราวของโรงเรียน นิวยอร์ก ซิตี ไฮสคูล ออฟ เพอร์ฟอร์มิ่ง อาร์ตส์ โรงเรียนที่สร้างสรรค์ศิลปินมาแล้วมากมาย โดยบรรดานักเรียนทุกคนที่นี่ต่างก็ล้วนแต่มีความฝันและหวังจะเป็นดาวเด่น พวกเขาจึงต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อเป้าหมายความสำเร็จในชีวิต และกว่าจะไปถึงฝันมิตรภาพระหว่างเพื่อนจึงก่อตัวขึ้น แต่ไคลแมกซ์ที่สำคัญคือฉากที่เหล่านักเรียนในโรงเรียนวิ่งออกมาเต้นรำกันบนท้องถนนในบทเพลง Fame นั่นเอง โดยหนังในเวอร์ชั่นปี 1980 นั้นนอกจากจะคว้ารางวัลออสการ์เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแล้ว หนังยังได้รางวัลใน สาขาดนตรีประกอบยอดเยี่ยมมาอีก 1 รางวัลด้วย

 

เพลง Flashdance... What a Feeling
ภาพยนตร์ Flashdance (1983)

ตัวหนังบอกเล่าเรื่องราวของอเล็กซ์ โอเว่น (เจนนิเฟอร์ บีลส์) หญิงสาววัย 18 ปีที่มีความฝันอันแรงกล้า ยามกลางวันเธอเป็นช่างเชื่อม ส่วนกลางคืนเธอเป็นแดนเซอร์ในบาร์ เธอจึงขยันทำงานและไม่ละทิ้งความฝันในการเป็นนักเต้น สิ่งที่โดดเด่นไม่แพ้การเต้นในหนังเรื่องนี้ก็คือบทเพลง Flashdance... What a Feeling ซึ่งขับร้องโดยไอรีน คาร่า ซึ่งหนังเรื่องนี้และเพลงนี้แทบจะกลายเป็นหนึ่งในตำนานของยุค 80 เลยก็ว่าได้

 

เพลง (I've Had) The Time of My Life
ภาพยนตร์ Dirty Dancing (1987)

หนังเล่าเรื่องราวของเบบี้ (เจนนิเฟอร์ เกรย์) สาววุยรุ่นที่ได้รู้จักกับ จอห์นนี่ (แพทริก สเวซีย์) ครูสอนเต้นรำ แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อเพนนี (ซินเธีย โรดส์) เกิดตั้งท้องและไม่สามารถเป็นคู่เต้นรำได้ ทำให้เบบี้ต้องทำหน้าที่แทน หลังจากได้เต้นคู่กันก็กลายเป็นความใกล้ชิดสนิทสนม แต่พวกเขาก็โดนพ่อของเบบี้กีดกัน ตัวหนังเรียกได้ว่ามีฉากเต้นรำที่โดดเด่นมากและในยุคนั้นสาวๆก็กรี๊ดความเร่าร้อนของแพทริก สเวซีย์มากๆ (เทียบกับยุคนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากแชนนิ่ง เททั่มใน Step Up) ส่วนเพลงเด่นของหนังก็คือ (I've Had) The Time of My Life ซึ่งโด่งดังมาจนวง The Black Eyed Peas ต้องเอาท่อนฮุคมาเป็นส่วนหนึ่งของเพลง The Time (Dirty Bit)


 

เพลง Beauty and the Beast
ภาพยนตร์ Beauty and the Beast (1991)

เรื่องราวสุดคลาสสิคของโฉมงามกับเจ้าชายอสูร ที่นางเอกของเรื่องอย่างเบลล์ต้องรักกับอสูรเพื่อจะปลดคำสาปของแม่มด แอนิเมชั่นเรื่องนี้ยังเป็นแอนิเมชั่นเรื่องแรกที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์ โดยเพลงประกอบภาพยนตร์นั้นมี 2 เวอร์ชั่น โดยเวอร์ชั่นที่อยู่ในหนังขับร้องโดย ลานบูรี่ ส่วนเวอร์ชั่นเพลงประกอบช่วงเอนเครดิตขับร้องโดย เซลีน ดิออนและพาโบล ไบรสัน ส่วนเร็วๆนี้ในเวอร์ชั่นไลฟ์แอ็คชั่นที่นำแสดงโดยเอ็มม่า วัตสันนั้น (2017) เพลงประกอบภาพยนตร์จะขับร้องโดยอาเรียน่า แกรนเด้และจอห์น เลเจนท์

 

เพลง My Heart Will Go On
ภาพยนตร์ Titanic (1997)

โศกนาฎกรรมกรรมเรือล่ม หนังโรแมนติกของแจ็คกับโรส และ 11 รางวัลออสการ์รวมไปถึงสาขาเพลงประกอบภพายนตร์ยอดเยี่ยมอย่างเพลง My Heart Will Go On จนเราอาจจะกล่าวได้ว่าเพลงนี้ได้กลายเป็นเพลงเอกของ เซลีน ดิออน เลยก็ว่าได้

 

เพลง When You Believe
ภาพยนตร์ The Prince of Egypt (1998)

จากเรื่องตำนานโมเสสสู่แอนิเมชั่นที่เล่าเรื่องราวเดียวกันในโทนที่เด็กๆดูได้ ตัวหนังเรียกได้ว่าเดินเรื่องตาม การต่อสู้ระหว่างสองพี่น้องโมเสสและพระเจ้ารามเสสที่ 2 จนท้ายที่แล้วโมเสสคือชายที่สามารถปลดแอกให้กับชาวยิวที่กลายเป็นทาสในอียิปส์สมัยนั้น แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของแอนิเมชั่นเรื่องนี้คือการได้สองดิว่าส์สาวแห่งยุคอย่างวิทนีย์ ฮูสตันและมาราย แคร์รี่มาขับร้องเพลงประกอบภาพยนตร์อย่าง When You Believe ซึ่งไพเราะจับใจมาก

 

เพลง Skyfall
ภาพยนตร์ Skyfall (2012)

เรื่องราวอีกบทหนึ่งของพยัคฆ์ร้าย 007 ที่ย้อนกลับไปยังต้นกำเนิดของเขา ในภาค Skyfall นั้นเป็นภาคที่เรียกได้ว่ามีความลุ่มลึก ขรึม ผิดวิสัยสายลับเจ้าเสน่ห์ ซึ่งความโดดเด่นของหนังภาคนี้หนังได้เข้าชิงถึง 5 รางวัลออสการ์และคว้ากลับมาได้ถึง 2 รางวัลไม่ว่าจะเป็นในสาขาตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม และเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอย่างเพลง Skyfall ที่ขับร้องโดยอเดลและพอล เอ็พเวิร์ด

 

เพลง Let It Go
ภาพยนตร์ Frozen (2013)


คงไม่มีใครปฏิเสธความโด่งดังของ Let It Go ได้อีก เพราะนอกจากจะเป็นแอนิเมชั่นที่ยอดเยี่ยมประจำปี 2013 บนเวทีออสการ์แล้วมันยังครองตำแหน่งเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์ในปีนั้นอีกด้วย โดยในเวอร์ชั่นภาพยนตร์นั้นขับร้องโดย ไอดิน่า แมนเซล ส่วนเวอร์ชั่นเอนเครดิตขับร้องโดยเดมี่ เลอวาโต้ ซึ่งในเวอร์ชั่นภาพยนตร์นั้นได้รับความนิยมมากกว่า เพลง Let It Go นั้นยังมีเวอร์ชั่นภาษาต่างประเทศมากถึง 45 ภาษาด้วยกัน

 

 

@PRETTYPLASALID

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ ของ 10 เพลงประกอบหนังยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์ที่ติดหูจนถึงวันนี้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook