ดูแล้วบอกต่อ The Mummy – การหลุดโฟกัสของการเล่าเรื่องราว

ดูแล้วบอกต่อ The Mummy – การหลุดโฟกัสของการเล่าเรื่องราว

ดูแล้วบอกต่อ The Mummy – การหลุดโฟกัสของการเล่าเรื่องราว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

@PRETTYPLASALID

          The Mummy อาจจะเป็นหนังเรื่องแรกของจักรวาล Dark Universe ของสตูดิโออย่างยูนิเวอร์แซลในการนำบรรดาปีศาจและมอนสเตอร์ให้กลับมาโลดแล่นอยู่บนจอภาพยนตร์ แต่น่าเสียดายตรงเมื่อหนังเลือกที่จะเล่าในการขยายจักรวาลนี้ให้กว้างขึ้น หนังกลับลืมว่าจริงๆแล้วพวกเขากำลังจะต้องเล่าเรื่องราวการคืนชีพของอาห์มาเนท (โซเฟีย บูเทลล่า) ในการชำระแค้นและทวงสิทธิ์ที่เธอควรจะได้รับตั้งแต่แรกคืนกลับมา

            สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดคือ The Mummy ในเวอร์ชั่นนี้คือการวางให้มัมมี่กลายเป็นเพศหญิง และปูมหลังของตัวละครอย่างอาห์มาเนทนั้นน่าสนใจกว่าตัวละครอื่นๆในหนังเลยก็ว่าได้ เมื่อตัวหนังเกริ่นเรื่องราวเอาไว้ว่าที่จริงแล้วตัวละครนี้จะได้ขึ้นครองตำแหน่งฟาโรห์องค์ต่อไปในอียิปต์ เธอได้รับการฝึกฝนทั้งการต่อสู้ การปกครองจนอาจจะกล่าวได้ว่าเธอถึงพร้อมในทุกด้านที่จะเป็นผู้ปกครอง

            แต่ในยุคสมัยที่เพศไม่ใช่ความเท่าเทียม เมื่อฟาโรห์ได้ให้กำเนิดบุตรชาย อาห์มาเนทจึงเหมือนโดนแย่งบัลลังก์ไปต่อหน้าต่อตา และนั่นเองกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอกระโจนเข้าสู่ด้านมืดด้วยการใช้มนต์ดำและขอพลังจากเทพเซท แต่การขายวิญญาณของตัวเองเพื่อแลกกับพลังอำนาจก็ไม่ได้บรรลุผลสำเร็จ เป็นผลทำให้เธอถูกจับทำมัมมี่ทั้งเป็นและส่งไปฝังอยู่ ณ ดินแดนที่ห่างไกลอียิปต์และพยายามทำให้ผู้คนหาเธอไม่พบ

         

            กระทั่งวันหนึ่งหลังจากสงครามกลางเมืองทำให้นิค มอร์ตัน (ทอม ครูซ) ได้บังเอิญไปเจอกับหลุมศพของอาห์มาเนท ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ การนำโลงศพมัมมี่ขึ้นมาจากบ่อปรอท เป็นผลทำให้อำนาจชั่วร้ายได้คืนชีพกลับมาอีกครั้ง

            นอกเหนือไปจากฉากซีจีที่แสดงถึงพลังอำนาจของอาห์มาเนทแล้ว ตัวหนังก็เหมือนพยายามจะผสมผสานความสยองขวัญกับหนังแอ็คชั่นเข้าไว้ด้วยกัน แต่น่าเสียดายที่อารมณ์ความรู้สึกของหนังกลับกลายเป็นห้วงๆ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์เครื่องบินตก การฟื้นคืนชีพของนิค (เพราะโดนคำสาป) การโดนมนต์สะกดของอาห์มาเนตให้เดินทางไปหาเธอ แต่เหตุการณ์หลังจากนี้หนังก็พาผู้ชมไปเปิดจักรวาลมอนสเตอร์ผ่านตัวละครดร.เฮนรี่ เจคกิลล์ (รัสเซล โครว์) ว่าแท้ที่จริงแล้ว ยังมีองค์กรลึกลับที่ดูแล พิทักษ์ความปลอดภัยให้โลกมนุษย์จากมอนสเตอร์มาตั้งแต่อดีตกาล และโลกนี้ยังมีความลับอีกมากที่รอการคลี่คลาย

            ผู้กำกับอย่างอเล็กซ์ เคิร์ทแมน ไม่สามารถทำให้ตัวหนังกลมกล่อมเป็นเนื้อเดียวกันได้ อีกทั้งตัวละครของทอม ครูซเองก็เหมือนหลุดมาจากตัวละครอีธาน ฮันท์ใน Mission Impossible อยู่ตลอดเวลา มุกตลกที่ผิดที่ผิดเวลาก็ไม่ได้ช่วยทำให้หนังตลกขบขันมากขึ้น หากจะกลายเป็นสิ่งชวนหงุดหงิดน่ารำคาญเสียมากกว่าเช่น เพื่อนสนิทของนิคอย่างคริส เวล(เจค จอห์นสัน)

            ถึงนี่จะเป็นการหยิบตำนานมัมมี่มาปัดฝุ่นอีกครั้ง แต่เราก็อดไม่ได้ที่จะเอาไปเปรียบเทียบกับหนัง The Mummy ในเวอร์ชั่นที่เบรนดอน เฟรเชอร์และราเชล ไวซ์เคยแสดงเอาไว้ในปี 1999 ว่ามันสนุกและลงตัวกว่ามากแค่ไหน

            ตอนนี้เราก็ได้แต่ลุ้นว่าจักรวาล Dark Universe จะได้ไปต่อ และได้รับความนิยมจากผู้ชมมากแค่ไหน รายรับจากทั่วโลกน่าจะพอเป็นคำตอบให้เราได้ว่า เราจะได้ดู Bride of Frankenstein ในปี 2019 หรือไม่

 

3 คะแนนจาก 5 คะแนน

อัลบั้มภาพ 4 ภาพ

อัลบั้มภาพ 4 ภาพ ของ ดูแล้วบอกต่อ The Mummy – การหลุดโฟกัสของการเล่าเรื่องราว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook