รีวิวValerian And The City Of Thousand Planets สนุกไปกับจินตนาการสุดล้ำของลุค เบซอง

รีวิวValerian And The City Of Thousand Planets สนุกไปกับจินตนาการสุดล้ำของลุค เบซอง

รีวิวValerian And The City Of Thousand Planets  สนุกไปกับจินตนาการสุดล้ำของลุค เบซอง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

ถ้าเป็นแฟนหนังอวกาศหลายคนน่าจะคุ้นกับภาพนิคมอวกาศที่เต็มไปด้วยมนุษย์ต่างดาวหลากสายพันธุ์เดินกันขวักไขว่ ภาพร้านเหล้าหรือซ่องโจรที่เต็มไปด้วยมนุษย์ต่างดาวพันธุ์วายร้าย ถ้าชื่นชอบกับบรรยากาศบนจอแบบนี้ ก็น่าจะถูกอกถูกใจกับวาเลเรียนเป็นพิเศษ เพราะหนังวาเลเรียนเนี่ยแหละ เอาบรรยากาศเหล่านี้มาขยายเป็นเรื่องราวตลอด 2 ชั่วโมง 20 นาที

หนังดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนยุคเก่าแก่ที่เขียนมาตั้งแต่ปี 1967 นู่น แล้วลากยาวถึง 43 ปี มาจบเอาเมื่อปี 2010 นี่เอง ในฉบับการ์ตูนจะชื่อ Valerian And Laureline ก็เป็นการปฎิบัติการของเอเยนต์คู่หูมือฉกาจที่ทำให้งานให้กับสหพันธ์โลก ด้วยจินตนาการอันบรรเจิดและสนุกสนานของ ฌอง คล็อด เมเซียร์ ผู้สร้างสรรค์เรื่องราวของวาเลเรียน ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้เป็นแรงบันดาลให้เกิดหนังมหากาพย์อย่างสตาร์วอร์ส และตัวลุค เบซอง เองที่อยากจะดัดเแปลงการ์ตูนเรื่องนี้มาเป็นหนัง แต่ด้วยเทคโนโลยีอันจำกัดเมื่อ 20 ปีก่อน ลุค เลยตัดสินใจดัดแปลงตอนหนึ่งของวาเลเรียนออกมาเป็น The Fifth Element (1997) แทน จนกระทั่งลุค ได้เห็นภาพของชาวเผ่านาวิใน AVatar (2009) ของเจมส์ คาเมรอน ก็เป็นสัญญานหนึ่งที่บอกว่าเทคโนโลยีทางด้านภาพมาถึงจุดที่ ลุค จะสามารถสร้างภาพของบรรดามนุษย์ต่างดาวหลากสายพันธุ์ได้แล้ว โครงการหนัง Valerian ถึงได้เริ่มออกสตาร์ทอีกครั้ง

ด้วยชื่อเสียงของตัว ลุค เบซอง เองอยู่ที่ในวงการมากว่า 30 ปี  สร้างผลงานน่าประทับใจไว้มากมาย โดยเฉพาะ The Fifth element ที่ลุคได้แสดงวิสัยทัศน์ของตัวเองลงไปในหนังอวกาศให้กลายเป็นหนังในดวงใจของหลาย ๆ คน เมื่อลุคประกาศว่าจะกลับมาทำหนังอวกาศอีกครั้งจึงได้แรงสนับสนุนมากมายทั้งเงินทุนที่พุ่งทะยานไปถึง 220 ล้านเหรียญ กลายเป็นหนังนอกฮอลลีวู้ดเรื่องแรกในประวัติศาสตร์ที่ใช้ทุนสร้างสูงขนาดนี้ และการจะเสกสรรค์ภาพให้ได้ตามจินตนาการของลุคเบซอง ถึงกับต้องใช้บริษัทสร้างภาพซีจีระดับแนวหน้าของโลกถึง 3 บริษัท WETA ของปีเตอร์ แจ็คสัน , ILM ของจอร์จ ลูคัส และ Rodeo FX ที่เคยทำ Gods Of Egtpt และ Warcraft

 

หนังเปิดเรื่องได้อย่างน่าสนใจด้วยการเล่าความเป็นมาของ “อัลฟ่า” นิคมจักรวาลที่ถือกำเนิดจากสถานีอวกาศของโลกมนุษย์  จากสถานีอวกาศของชาติต่าง ๆ บนโลกมาเชื่อมต่อกันและเริ่มได้รับการสานสัมพันธ์จากดาวอื่น ๆ จนผ่านไป 400 ปี สถานีก็ขยายไปจนมโหฬาร มีมนุษย์ต่างดาวมากกว่า 5,000 สายพันธุ์ และประชากรถึง 9 ล้านชีวิต อัลฟ่า เป็นแนวคิดที่น่าสนใจ ดูสนุกน่าตื่นตา แต่ก็อยู่บนสมมติฐานที่น่าจะเกิดขึ้นจริงได้ในอนาคต หนังตัดสลับไปแนะนำคู่หูวาเลเรียนและลอเรลีน ที่ตามฟอร์มของหนังแนวแอ็คชั่นที่ตัวเอกจะต้องโชว์ปฎิบัติการให้คนดูเห็นฝีมือของทั้งคู่ และวีรกรรมโชว์พาวของทั้งคู่ที่บิ๊กมาร์เก็ต ก็เป็นฉากแอ็คชั่นลากยาวและสนุกสนานมาก และไอ้บิ๊กมาร์เก็ตเนี่ยล่ะ ก็เป็นอีกหนึ่งจินตนาการที่ต้องยกนิ้วให้สองนิ้วว่า “ไอเดียมึงล้ำจริง ๆ” ไม่เล่ารายละเอียดนะ ให้ไปดูเอาเอง จนมาถึงอัลฟ่า คู่หูก็ทำหน้าที่เสมือนไกด์ พาคนดูผจญภัยไปตามซอกมุมต่าง ๆ ของอัลฟ่า บนเส้นเรื่องที่เขียนไว้เบา ๆ แบบมีปริศนาน่าสนใจ ว่ามีมุมลึกลับอยู่ในอัลฟ่า ที่ส่งเอเยนต์เข้าไปกี่คนก็ไม่ได้กลับออกมา แลดูว่าน่าจะเป็นอันตรายต่อทุกชีวิตบนอัลฟ่าในอนาคตถ้าไม่รีบกำจัดเสีย

 

ความสนุกของหนังหลัก ๆ แล้วมาจากจินตนาการบรรเจิดของเจ้าของเรื่องและถูกต่อยอดออกมาเป็นภาพจริงด้วยวิสัยทัศน์ของลุค เบซอง ที่เคยทำสำเร็จมาแล้วจาก The Fifthe Element ลุคเลือกหยิบเอาจุดที่คนดูเคยประทับใจมาใช้ได้หมด ทั้งอารมณ์ขันมากมายในหนัง ความยียวนของตัวละครนำ นางเอกน่ารักโดนใจ และที่สำคัญรอบนี้ได้เงินทุนที่มากขึ้น บวกกับวิวัฒนาการของซีจีที่ลุค ทำไม่ได้เมื่อ 20 ปีก่อน คราวนี้ก็เลยจัดเต็ม หนังจึงเต็มไปด้วยมนุษย์ต่างดาวหน้าตาประหลาดแบบนับไม่ถ้วน สัตว์ประหลาดที่มีทั้งตัวที่น่ากลัวและตัวที่น่ารัก ยานหลากหลาย อาวุธแปลก ๆ มากมาย และดีไซน์ชุดที่เท่มาก เรียกได้ว่าทุกนาทีของหนังจะมีอะไรออกมาให้ตื่นตาตื่นใจตลอดเวลา ละสายตากันไม่ได้เลย และตอกย้ำความประทับใจจากฉาก ร้องโอเปร่า ใน The Fifth element ที่หลายคนประทับใจ ลุค ก็เลยหยอดฉากร้องเพลงมาในเรื่องนี้ด้วย และรอบนี้ก็เป็นหน้าที่ของ ริฮานนา ที่เธอได้ 2 นาทีเป็นฉากโชว์เดี่ยวของตัวเอง และต้องย้ำว่าเธอทำได้เริ่ด สมศักดิ์ศรีกับซูเปอร์สตาร์ของยุคนี้จริง ๆ

แต่ต้องย้ำกันก่อนว่าโทนของหนังเป็น ไซไฟ-คอมมีดี้ ซึ่งน่าจะดูกันออกแล้วตั้งแต่ตัวอย่างหนัง ภาพของหนังจะสดใสเต็มไปด้วยสีสัน และอารมณ์ขัน แซมโรแมนติกเล็ก ๆ ไม่ได้เข้มข้นเคร่งเครียด อย่างใน Star Wars หรือ Star Trek ไม่มีอารมณ์อาฆาตแค้นเคืองระหว่างตัวละคร ไม่ขายฉากยานอวกาศไล่ยิงกัน แต่จะใกล้เคียงกับ Guardian Of The Galaxy เสียมากกว่า จึงเป็นหนังที่ค่อนข้างจะเอาใจผู้ชมกลุ่มวัยรุ่นลงมาถึงวัยเด็กเล็ก ที่พ่อแม่จูงลูกไปดูได้อย่างปลอดภัย ไร้พิษภัยชัวร์ ๆ บนเนื้อหาที่ไม่มีอะไรซับซ้อนมากมาย สรุปได้ว่าเป็นหนังที่สนุกได้กับความอลังการของงานซีจี จากจินตนาการล้ำ ๆ ทีไม่ซ้ำกับหนังอวกาศก่อนหน้า ไม่ควรพลาดครับ

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook