ดูแล้วบอกต่อ Wish Upon - ของฟรี ไม่มีในโลก

ดูแล้วบอกต่อ Wish Upon - ของฟรี ไม่มีในโลก

ดูแล้วบอกต่อ Wish Upon - ของฟรี ไม่มีในโลก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

 

           พล็อตหนังสยองขวัญว่าด้วยการขอพรวิเศษในหนังสยองขวัญนั้น สูตรภาคบังคับในหนังตระกูลนี้คือเมื่อตัวละครที่ร้องขอสิ่งที่ตนต้องการและสมความปรารถนาแล้ว พวกเขามักจะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันน่าเลวร้าย หวาดกลัว อันอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ตัวละครเหล่านี้ประสบชะตากรรมถึงขั้นเสียชีวิตในภายหลัง

          เช่นเดียวกันกับหนังเรื่อง Wish Upon ที่ตัวละครเอกของเรื่องอย่างแคลร์ (โจอี้ คิง) เด็กสาววัยรุ่นอายุ 17 ซึ่งโดนกลั่นแกล้งยามที่เธอต้องไปโรงเรียน เธอใช้ชีวิตร่วมกับพ่อของตน (ไรอัน ฟิลิปเป้) ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นนักดนตรีที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่เมื่อชีวิตแต่งงานประสบปัญหาครั้งใหญ่ ทำให้ชีวิตของสองพ่อลูกต้องระหกระเหิน และเมื่อผู้เป็นพ่อตัดสินใจจะทิ้งทุกอย่างในชีวิต (ถึงขั้นผันตัวเองมาเป็นคนเก็บขยะ) ทำให้แคลร์ต้องพลอยรับชะตากรรมความลำบากในชีวิตไปด้วย

          วันหนึ่งระหว่างที่เก็บขยะ (ของเก่า) พ่อของเธอได้พบกับกล่องเพลงปริศนาที่มีจารึกอักขระจีนโบราณอยู่ในนั้น แม้ว่าเธอจะอ่านไม่ค่อยออก แต่แคลร์ก็อนุมานได้ว่าเธอสามารถอธิษฐานขอพรบางประการให้เป็นจริงได้ เมื่อไม่มีอะไรจะเสีย เธอจึงลองขอคำปรารถนาดู

 

          สิ่งที่แคลร์ขอกลายเป็นความจริงขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ เธอจึงเริ่มขอพรมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสุขส่วนตัว ชื่อเสียง และความรัก ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้สวย แต่ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ เรื่องราวร้ายๆเริ่มเกิดขึ้นกับคนรอบตัวเธออย่างน่าประหลาด

          แม้ว่า Wish Upon อาจจะคล้ายคลึงกับพล็อตตัวละครเจ้าหญิงในเทพนิยายของดิสนีย์อย่างเช่นตัวละครซินเดอเรลล่าก็ตาม แต่น่าเสียดายที่นางฟ้าแม่ทูนหัวในหนังเวอร์ชั่นนี้ไม่ได้เหลือรองเท้าแก้วเอาไว้ให้แคลร์ตามหาเจ้าชาย แต่กลายเป็นกล่องมรณะที่มอบความตายให้กับคนรอบตัว จนกว่าเธอจะรู้ตัว ไหวตัวทัน ทุกอย่างก็สายจนเกินแก้

          น่าเสียดายที่หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องตามสูตรเรียงลำดับ 1 2 3 4 จนคนดูหนังสยองขวัญตระกูลนี้แทบจะไม่ต้องเดาก็นึกเหตุการณ์ต่อไปได้อย่างไม่ยากเย็น ที่น่าเสียดายกว่านั้น คือการที่หนังเรื่องนี้พะเรทเอาไว้ที่ PG-13 ซึ่งทำให้ดีกรีความโหดของฉากตัวละครในเรื่องตายนั้น เรียกได้ว่าไปไม่ถึงจุดความสยอง แทนที่เราจะได้ความน่าหวาดเสียว กลับกลายเป็นฉากสั้นๆที่ได้แต่รู้สึกว่า อ้าว แค่นี้เองเหรอ (ถ้านึกถึงฉากตัวละครตายอย่างโหดเหี้ยม แปลกประหลาดคิดว่าคนดูหนังส่วนใหญ่จะนึกถึงหนังอย่าง FINAL DESTINATION เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน)

          ถึงแม้ว่าหนังจะสั้นแค่เพียง 90 นาทีก็ตาม แต่ความเนิบช้าและไม่มีอะไรแปลกใหม่อาจจะทำให้แฟนหนังสยองขวัญได้แต่มองนาฬิกาและตั้งคำถามว่าเมื่อไหร่หนังจะจบเสียที

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook