รีวิว I Want to Eat Your Pancreas เพราะหัวใจใกล้ตับอ่อน แค่ 1 วันก็มีค่า

รีวิว I Want to Eat Your Pancreas เพราะหัวใจใกล้ตับอ่อน แค่ 1 วันก็มีค่า

รีวิว I Want to Eat Your Pancreas เพราะหัวใจใกล้ตับอ่อน แค่ 1 วันก็มีค่า
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แอนิเมชั่นจากไลท์โนเวลเรื่อง Kimi no Suizo wo Tabetai ของนักเขียนฝีมือดีอย่าง สุมิโนะ โยรุ โดยเวอร์ชั่นคนแสดงเคยเข้าฉายบ้านเราไปเมื่อปลายปีก่อน เล่าเรื่องของ ซากุระ สาวสวยแสนสดใสขวัญใจหนุ่มๆ โรงเรียนมัธยม และ ‘ผม’ เด็กหนุ่ม หนอนหนังสือ ผู้ไม่สนใจโลก ที่วันหนึ่งเขาได้ไปรู้ความลับของซากุระด้วยความบังเอิญว่าเธอกำลังจะตายด้วยโรคตับอ่อน ซากุระจึงร้องขอให้เขาเก็บเป็นความลับ และขอให้ช่วยเป็นเพื่อนทำในสิ่งที่เธอคาใจก่อนตายทั้งหลาย ไม่ว่าจะการหนีไปเที่ยว และภารกิจตามแต่ใจตัวเองอื่น ๆ ซึ่งได้เปลี่ยนจิตใจด้านชาของ ผม ทีละน้อย โดยทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าวันหนึ่งความสุขเหล่านี้ย่อมจบลง

ขออนุญาตพูดในสองส่วนแล้วกันนะครับ สำหรับคนที่ไม่เคยดูหนังคนแสดงหรืออ่านนิยายมาก่อนเลย แอนิเมชั่นเรื่องนี้นิยามให้ง่ายคือ Your Name ในฉบับที่รันทดกว่า มันคือผลงานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างวัยรุ่นสองคนที่ต่างหอบจุดอ่อนและรอยแผลของตัวเองบังเอิญมาพบกัน และร่วมการเดินทางที่จะเป็นจุดหักเหใหญ่ในชีวิตของทั้งคู่ แม้คำว่า ชีวิต ของแต่ละคนจะยาวสั้นไม่เท่ากันก็ตาม

หนังเป็นผลงานการผลิตของค่าย Studio VOLN ซึ่งเคยฝากผลงานอย่างอนิเมะทีวีซีรีส์เรื่อง Ushio & Tora หรือบ้านเรารู้จักกันในชื่อ ล่าอสูรกาย (มีฉายทาง Netflix ด้วยนะ) ซึ่งนับว่าเป็นค่ายน้องใหม่ที่มีผลงานไม่มากแต่คุณภาพคับแก้ว น่าติดตามมาก ๆ  ทั้งยังได้ดึง อุชิจิมะ ชินอิจิโระ ผู้กำกับที่ดังจากการกำกับอนิเมะที่เป็นกระแสอย่างมากอย่าง One Punch Man: Wanpanman (นี่ก็มีฉายทาง Netflix) มากำกับและเขียนบท ทั้งยังนับเป็นแอนิเมชั่นขนาดยาวเรื่องแรกของอุชิจิมะด้วย โดยยังมีไม้เด็ดคือได้ ลิน (Lynn) นักพากย์สาวมากประสบการณ์มาให้เสียงซากุระ และได้พระเอกหนุ่มจากมาสก์ไรเดอร์อย่าง ทากาสึกิ มาฮิโระ มาให้เสียง ผม ด้วย

ก็ต้องยอมรับว่าแอนิเมชั่นรักวัยรุ่นยุคหลังต่างได้อิทธิพลจาก Your Name ของ มาโกโตะ ชินไค มาอย่างละนิดหน่อยไม่ตรงก็ทางอ้อม โดยเฉพาะเรื่องนี้ถ่ายทอดภาพประกอบที่เป็นฉากชีวิตของตัวละครได้งดงามมาก ทั้งห้อง ทางเดิน รวมถึงเมือง ท้องฟ้า สภาพอากาศ ต้นซากุระ ซึ่งสวยมาก ๆ เป็นงานศิลป์มาก ๆ คือดูภาพดูความสวยงามก็เพลินแล้ว ในขณะที่ดีไซน์ตัวละครก็ถือว่าหล่อสวยมีเสน่ห์พอสมควร และการเผางานลวก ๆ นั้นแทบหาไม่ได้เลย คือโปรดักชั่นนี่ความสมบูรณ์สูงมาก ใครชอบดูแอนิเมชั่น 2 มิติแบบญี่ปุ่นนี่ห้ามพลาดเลย

ด้านเนื้อเรื่องต้องยอมรับว่าชวนให้นึกถึงอนิเมะในห้วงเวลาใกล้ ๆ กันอย่าง Your Lie in April หรือบ้านเรารู้จักในชื่อ เพลงรักสองหัวใจ อยู่เหมือนกันทั้งเรื่องสาวแก่นที่มาป่วนชายหนุ่มที่ไม่เข้าสังคม และดราม่าในช่วงท้ายของเรื่อง ซึ่งเรื่องแนว ๆ ที่ว่าจะมีตัวละครตายในตอนจบนี่ก็มีมาพรากน้ำตาเราไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่องแล้ว ทว่านิยายของโยรุนี่ก็สร้างจุดแตกต่างได้น่าสนใจจนกลายเป็นหนังสือยอดนิยม เพราะหนังไม่อำพรางและปกปิดใด ๆ เลยตั้งแต่ต้นเรื่องว่า นางเอกกำลังจะตาย และทั้งหมดที่จะได้ชมคือเดินไปบนเงื่อนเวลาอันจำกัดนี้ทั้งสิ้น นับว่าโหดกับใจในแบบที่ไม่เหมือนใครอยู่เหมือนกันนะที่ต้องคอยลุ้นว่าทั้งคู่จะพบความสุขได้หรือไม่ หรือจะมีปาฏิหาริย์อะไรอีกมั้ย และก็ขอบอกเลยว่าพล็อตแบบเฉลยมาแต่ต้นอย่างนี้ ยังมีหมัดพิฆาตเราตอนท้ายในแบบที่คาดไม่ถึงอยู่ดี

ซึ่งตรงนี้ล่ะที่ทำเอาจุกไปได้หลายวัน อาการปวดตับมันเป็นแบบนี้นี่เอง

คราวนี้ขอมาพูดในส่วนของคนที่เคยเสพไม่ว่าจะนิยายหรือดูหนังคนแสดงมาก่อนแล้วบ้าง ถ้าส่วนดีของหนังคนแสดงคือการดัดแปลงนิยายให้มีไดนามิกของเวลาสองช่วงเวลาตอนเด็กและแก่มาผลักดันแล้วนั้น ส่วนดีของแอนิเมชั่นเรื่องนี้ก็คือการเดินตามตัวเรื่องเดิมได้ลึกและละเมียด ทั้งยังความได้เปรียบของความเป็นแอนิเมชั่นยังเป็นเรื่องของฉากประดิษฐ์ที่สวยงามและแฟนตาซีได้มากกว่าหนังคนแสดง ซึ่งช่วยขับเน้นความมีชีวิตชีวา การผุดบานของวัยได้อย่างตราตรึง ฉากดอกซากุระปลิว และท้องฟ้าทั้งยามเย็น และยามกลางคืนใต้ดอกไม้ไฟ นี่คือชวนฝันมาก ดังนั้นถ้าถามว่าถ้าสมมติดูครั้งแรกทั้ง 2 เวอร์ชั่น ผมค่อนข้างเอนเอียงชอบมาฉบับแอนิเมชั่นนี้มากกว่าพอสมควรนะ

โดยเฉพาะการที่เดินพล็อตแบบ หนังรักเพิ่งรู้เมื่อสาย  ในแบบที่ไม่สนใจว่าความสัมพันธืระหว่างคนสองคนจะต้องชัดเจน ความคลุมเครือที่สั่นคลอนหัวใจเรามันเลี้ยงความรู้สึกอัดอั้นของทั้งตัวละครและผู้ชมไปได้จนถึงฉากนั้น ซึ่งทำให้เรารู้สึกเหมือนกลั้นหายใจมานานแล้วได้ออกซิเจนบริสุทธิ์เข้าปอดอย่างไรอย่างนั้นเลย นอกจากนี้หนังยังขับสารสำคัญอีกอันออกมาได้แบบที่หนังคนแสดงไม่ชวนให้รู้สึกขนาดนี้เลยคือ ความปวดร้าวของการชะล่าใจเพียง 1 วัน ที่ทำให้เรารู้สึกมาก ๆ ว่าหากมีโอกาสได้อยู่กับคนที่รักก็อย่าปล่อยไปเลยแม้สักวันเดียวหรือโมงยามเดียว เพราะนั่นอาจคือเวลาที่ไม่อาจหวนย้อนมาหรือเรียกคืนได้อีกแล้ว

เป็นหนังรักที่อาจดูเรียบนิ่ง ชวนให้รู้สึกถึงภาระและความสับสนลังเลในแบบวัยรุ่นจนน่าหงุดหงิด แต่ก็ดูสมจริงและสัมผัสใจคน จนถึงกระแทกใจให้เจ็บจุกได้อย่างไม่น่าเชื่อทีเดียว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook